Blog

  • โน้มตัวไปข้างหน้า (Lean Forward)

    ลักษณะท่าทีบางอย่างที่คนส่วนใหญ่มักใช้เป็น สัญลักษณ์ของความก้าวหน้าคือการวิ่งไปข้างหน้า

    ถ้าเราหลายคนเคยเห็นนักกีฬาที่วิ่งแข่ง เรามักจะเห็นอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือก่อนออกตัวทุกคนต้องโน้มตัวไปข้างหน้า

    หลายคนอาจรู้สึกว่าการโน้มตัวไปข้างหน้านั้นไม่ยาก

    แต่จากประสบการณ์ การโน้มตัวไปข้างหน้านั้นมีผลอย่างมากต่อการออกตัวของนักวิ่ง

    ครั้งหนึ่งตอนสมัยมัธยม เคยไปคัดตัวเป็นนักวิ่งในโรงเรียน สุดท้ายก็ได้มีโอกาสวิ่ง เลยได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ในการฝึกแบบเป็นนักวิ่งช่วงสั้นๆ

    เชื่อหรือไม่ ว่าโคชของผมเนี่ยใช้เวลาฝึกฝนให้นักวิ่งทุกคนรู้จักการโน้มตัวไปข้างหน้าเป็นเวลานานอยู่หลายวันก่อนที่จะสอนทักษะวิ่งที่มีประสิทธิภาพ

    และเกร็ดเล็กๆที่ได้มาคือ

    1. ต้องมีสมาธิที่จะโน้มตัว ไม่ใช่สักแต่ว่ายืดขาขึ้นเพื่อให้ดูว่าโน้ม
    2. ต้องทิ่งน้ำหนักเกินครึ่งของร่างกายไปที่แขน
    3. ต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเป้าหมายด้วยความรู้สึกมุ่งมั่น
    4.  ต้องลองฝึกบ่ายจนหาความกว้างของตัว แขน ขา และจังหวะการดีดขาให้เหมาะกับเราที่สุด

    วันเวลาผ่านไป ทำให้เราได้เข้าใจว่าทักษะดังกล่าวใช้ในชีวิตด้านอื่นได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนงาน กำหนดเป้าหมาย ซึ่งพออธิบายได้ว่า

    1. การที่เราต้องทำอะไรซักอย่างเราต้องตั้งใจและมีสมาธิกับเป้าหมายของเราให้มาก เพราะว่า ถ้าใจวอกแวกแล้วคงยากที่จะออกตัวได้ดี
    2. เราจำเป็นต้องทิ่งน้ำหนักของความเป็นตัวเราไปในบริเวณที่จะทำให้เราออกตัวได้ง่ายที่สุด เพราะว่าการพยายามดึงรั้งตัวเองไว้ ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสนามแข่งขันใดๆ
    3. ต้องมีความมั่นใจในทิศทางที่เราจะไป และมุ่งมั่นว่าเราต้องบรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ
    4. การเตรียมตัวคือการฝึกฝน ตัวเองอยู่เสมอ และค้นหาวิธีการที่ดีที่เหมาะกับเรา ด้วยการฝึกฝน ลองผิด เพื่อ ได้ลองถูก

    วันนี้เราได้เริ่มโน้มตัวข้างหน้าอย่างถูกวิธีแล้วหรือยัง ?

  • เรากำลังทำร้ายตัวเอง (อย่างไม่รู้ตัว) อยู่หรือเปล่า

    วันก่อนภรรยามาเล่าให้ฟังว่า ในระหว่างที่เดินออกจากห้องนอนลูก อยู่ดีๆลูกชายแฝดคนพี่ก็กรีดร้องขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ (อายุสี่เดือน) เธอเลยวิ่งเข้าไปในห้องด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นเป็นทั้งภาพที่ขำขันและสงสาร

    แอสตัน ลูกชายคนโตกำลังกำผมตัวเองแน่น และร้องไห้อยู่ ยิ่งกำแน่น ก็ยิ่งดึงแรง ยิ่งร้องดัง ต้องใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าแอสตันจะยอมปล่อยมือออกจากผมตัวเอง มองดูเป็นเรื่่องขำขัน แต่เราก็มานั่งคุยกันว่า เราทั้งคู่เคยทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเจ็บอยู่หรือเปล่า และเราจะช่วยกันเตือนกันและกันได้อย่างไร เพื่่อให้ครอบครัวที่ดีสำหรับลูกของเรา

    เลยมีโอกาสมานั่งคิดว่าบ่อยครั้งแค่ไหนที่เรามักเห็นคนที่เรารัก และหวังดีกำผมตัวเอง และดึงแรงๆเพราะความไม่รู้ และเราจะช่วยให้เค้ารู้ตัวได้เร็วแค่ไหนว่า แค่ปล่อยมือก็หายเจ็บแล้่ว

     

    20131217-024946.jpg

  • We see people telling history

    One of the benefit of being a coach is the privilege to have conversation with people from CxO level, manager, engineer, operation and sales level. I get the hear and see (some people draw) the world view through different lens. It is very fascinating to hear them because they are not the same, some gives an exact lines of a certain people talk about it and some shares their interpretation. What strikes me most is not the history itself, it is how people tell the history.

    This is what I see…

    1. Openness, some people tell only what I want to hear but some are very open to share their opinion.
    2. Focus, some people focus only their area but some have a more holistic view.
    3. Memory, it’s fascinating to see different people remember different event over the same time.
    4. Imagination, history itself is not only the truth but you also see how their imagination retrospecting the event, some are very inspiring storyteller.
    5. Trust, how people give and take trust through their story.

    While I spend time to read through notes, I am struggling to think whether we can tell their future through their world view. Will the interview give me the understanding of their attitude? I think NO because our video is not the same.

  • สมองเราถูกเสมอ หรือ?

    animated-optical-illusion rotsnakes

    ถ้าคุณเป็นคนส่วนใหญ่ในโลก เราจะเห็นภาพทั้งสองภาพนี้เคลื่อนไหวได้ แต่หากความเป็นจริงแล้ว ภาพทั้งสองนี้เป็นภาพนิ่ง

    เหตุผลอย่างง่ายคือสมองของเราไม่สามารถประมวลผลภาพทั้งหมดได้ทัน จึงทำให้เราเป็นภาพนิ่งกลายเป็นเคลื่่อนไหวได้

    และนี่เป็นหนึ่งในเครื่องยืนยันว่า เราไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่เราเห็นได้ เพราะว่าสมองของเรามีข้อจำกัด

    หากแต่ข้อจำกัดเหล่านี้สามารถเป็นเพื่่อนเราได้ถ้าเราเข้าใจ และพยายามเรียนรู้อะไรใหม่ โดยลืมอดีตที่เราเคยเข้าใจบ้าง

    เผื่อว่าบางทีเราอาจจะได้เห็นภาพใหม่ในงานเดิมๆ หรือแม้แต่วิธีการตัดสินใจ วิธีการทำงานที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

     

  • No, I don’t do Agile. I’m being agile

    With all respect, many people approach me with the question such as

    – Are you the one to doing Agile for the organization?

    – Can you tell me how to do Agile in my team?

    – Why Agile is so hard, how can I get one?

    – etc.

    My first question to those who want to do Agile is “Trust me, you don’t want to do Agile, it’s waste of time”, most response was a bit shocked and ask why. Why I am the Agile Manifesto Advocacy but keep telling people to go away with doing Agile.

    And that’s where the conversation begin, it’s normally about 10-15 mins talk and they get the idea.

    In brief, trust me, there is hardly any company in this world that want to do Agile because Agile itself is not putting bread on your table. The success of any company is the ability to being agile (as a verb) and use the Agile Manifesto as a guideline on how to achieve being Agile in software development.

    So next time you want to do Agile, ask yourself, how can you apply the Agile Manifesto values to your daily work because you don’t want to do Agile, you want to live agile.

  • แก้การเมืองด้วยอไจล์ (ลองคิดดู)

    ช่วงนี้พี่น้องอไจล์66 หลายคนเริ่มกระโดดเข้ากองไฟ ให้แง่คิดเรื่องการเมือง ในฐานะคนหนึ่่งที่เป็นประชาชนคนไทย คงอดไม่ได้ที่จะแบ่งปันมุมมอง

    เนื่่องจากครอบครัวเป็นคนไต้หวัน เคยไปทำงานที่อเมริกา อังกฤษ และหลายๆประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศจีนใกล้ๆเราด้วย

    อยากจะบอกว่า ไม่เห็นมีคนซักประเทศที่ชอบการเมืองของตัวเอง และบ่อยครั้งก็มักได้ยินว่า เราน่าจะทำอย่างประเทศนั้น ประเทศนี้บ้าง แต่อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือทุกๆความขัดแย้ง มักลงเอยด้วยบทสรุปที่นำพาการเมืองไปสู่จุดใหม่ที่แตกต่างจากเดิม

    ครับมันเป็นพัฒนาการ และ บุคคลที่เข้าใจว่า การเรียนรู้คือสิ่งสำคัญ ก็จะมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าง่ายขึ้น

    โดยส่วนตัวเชื่อว่าการเมืองสำคัญ แต่สิ่งทีสำคัญกว่านั้น คือวัฒนธรรมของการมองย้อนดูตัวเองว่าเราได้มี่ส่วนที่ทำให้การเมืองเป็นอย่างทุกวันนี้หรือไม่ การแก้ปัญหาโดยการบอกว่าคนนั้นคนนี้เป็นตัวปัญหา ไม่เคยแก้ปัญหาให้ใครได้ และ ส่วนใหญ่สร้างปัญหามากขึ้นด้วยซ้ำ

    คงไม่บอกว่าเราควรทำตัวอย่างไร เพราะว่าส่วนตัวอ่านรัฐธรรมนูญไม่จบ และ ไม่เข้าใจรายละเอียดมากนัก

    หากแต่ถ้าให้ลองใช้หลักการของอไจล์ มันอาจจะทำให้การเห็นภาพการเมืองของเราเปลี่ยนไปซัก 1 องศา

    หลักการอไจล์ : http://agilemanifesto.org/iso/th/

    1. อไจล์เน้นให้เราคุยกัน หาข้อตกลงร่วมกัน มากกว่ากระบวณการ หรือ เครื่ื่องมือต่างๆที่เรามี บางทีแอบสงสัยว่าทำไมการคุยกันถึงไม่มีการอัดวีดีโอและแบ่งปันให้คนอื่นดูบ้าง
    2. สินค้าของการเมืองในมุมของผมคือนโยบาย ฉะนั้น นโยบายที่ใช้ได้จริง โดยที่ไม่ต้องรอการวิเคราะห์ให้ครบถ้วนล้านเปอร์เซ็น จึงเป็นสิ่งทีอไจล์ยกย่อง
    3. อไจล์เน้นเรื่่องการเก็บความคิดเห็นของคนต่อสินค้าที่เรามี การเมืองไทยในรูปแบบอไจล์น่าจะดีขึ้นถ้าเรามีการเก็บความรู้สึกของประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงกับนโยบาย หลายคนบอกว่าทำไม่ได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเรายังไม่ได้ลอง
    4. อไจล์เน้นการตอบสนองต่การเปลี่ยนแปลง การเมืองแบบอไจล์นั้น คือการสามารถปรับวาระแบบแผนได้เร็วมากว่าสี่ปี คนดีไม่ใช้น้อย คงไม่ได้กำลังบอกว่าแผนงานไม่มีประโยชน์ หากแต่การปรับเปลี่ยนแผนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะดีกว่า

    แบ่งปันกันไปตามอรรถภาพ ตามมุมมอง ไม่ได้อิงสีใดสีหนึ่งเพราะว่า ส่วนตัวทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนเป็็นสิ่งสำคัญ ออกไปทำหน้าที่บ้างในฐานะประชาชนคนไทย ก็ทำบ้าง แล้วแต่วาระ และโอกาส แต่รู้สึกว่า ณ เวลานี้ เราต้องการคนทำงานเพื่่อ ชาติมากกว่า การพยายามสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม

    จากคนรักประเทศไทยคนหนีึ่ง ไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใด (ไม่ใช่ไทยเฉย ไทยเฉิ่ม ไทยอีกมากมาย ที่ช่างสรรหาำคำเพื่อสร้างความแตกแยก)

  • คุณรู้จักเบื้องลึกตัวคุณดีแค่ไหน

    ภาพฝาผนังที่วิจิตรการ รถยนต์ดีไซล์ล้ำโฉบเฉี่ยว นวัตรกรรมต่างๆที่เรามีโอกาสได้สัมผัส หรือแม้แต่ คนโด่งดังมากมายในโลก ภาพวันที่เราเห็นนั้นดูสวนงาม น่ายกย่อง และ หลายคนก็อยากได้อยากมี อยากเป็น แต่จะมีซักกี่คนได้ลองมองไปลึกๆว่าคนเหล่านั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง

    การไขว่คว้าหาตัวอย่างเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะว่า การกระทำที่เป็นตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าล้านคำสอน หากแต่มุมมองความคิดที่แตกต่างนั้น แท้จริงแล้ว เราสามารถหาได้จากตัวเราเช่นกัน

    โดยส่วนตัวเชื่อว่า คนเรานั้นไม่มากก็น้อยมีอยู่สองมุม มุมที่เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยแสดงออก หรือ หลายคนบอกว่าเป็นเบื้องหลังของการกระทำของเรา สิ่งเหล่านี้ได้แก่ มุมมอง ความคิด ความมุ่งมั่น การวางแผน การตัดสินใจ หรือแม้แต่ จุดอ่อน จุดแข็ง ค่านิยม หรือคำจำกัดความของคำว่าประสบความสำเร็จของเรา และคงไม่แปลกเลยที่เบื้องลึกเหล่านี้ของเราจะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา วุฒิภาวะ ประสบการณ์ที่ได้รับมา

    อีกมุมมองที่เรามีนอกจาก มุมมองเบื้องหลัง คือ เบื้องหน้าของเรา เบื้องหน้าของเรานั้น ได้แก่ คำพูด การแสดงออก และความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนรอบตัวเรา

    เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเรานั้นมีความสัมพันธ์กันแบบชนิดที่แยกกันแทบไม่ออก จนหลายคนหลงคิดว่าเค้าไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมาก หากแต่ถ้าเราพยายามมองลงไปให้ลึกมากขึ้น เราจะพบว่า การที่จะมีชีวิตที่มีประสบความสำเร็จ เราจำเป็นต้องใช้เวลาพัฒนาเบื้องหน้า และเบื้องหลังให้พอๆกัน

    คนหลายที่ได้สัมผัสมา มีความปราถนาที่จะพัฒนารูปร่างภายนอก บุคลิก หรือถ้าเป็นคนที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ หัวหน้างาน ผู้นำชุมชน มักมองเห็นแต่ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย หรือแม้แต่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แต่หากแท้จริงแล้ว เราต้องใช้เวลาคิดใคร่ครวญตรึกตรองถึงความคิดเบื้องลึกของเราด้วย เช่น เราต้องการที่จะเป็นใคร ผู้นำในความคิดของเราเป็นอย่างไร และลึกๆของเราต้องการบรรลุวัตถุประสงค์อะไรในชีวิต ทำไมเราถึงอยากได้ และ เราคิดว่าเราจะได้มันมาได้อย่างไร คำถามสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้เราใช้เวลาไม่กี่นาทีกับตัวเองได้ เพื่อเราะจะได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของเรา

    Mobius-Strip

     

  • Individual interaction over process and tools …but the tools that fit, no harm

    Dell29

     

    One of the Agile Manifesto is individual interaction over process and tool. The manifesto is clearly not suggesting that processes and tools are bad but we need to know that it can’t replace our interaction with our friends.

    To me, a better processes and tools for me is it should help me working with others easier, more productive. Just like having a bigger screen (29″) that I can now pair programming with my peer easier.

    With the hardware/ software cost these days, I can buy a better editor and huge screen that help me enjoy my work as well as entertainment during my tea time.

    Have you thought about what tools and processes can give your more happiness…(it doesn’t have to be geeky tools like this)

     

  • คุณคือผู้นำ (อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)

    ทุกคนไม่ว่าทางใด ทางหนึ่ง เป็นผู้นำกันทุกคน แนวความคิดที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าเราต้องเป็นซีอีโอ หรือประธานบริษัทแค่นั้น หากแต่เราทุกคนต่างมี ภาระหน้าที่ต้องเป็นผู้นำ มาดูกันว่าเราเป็นอันไหนกันบ้าง

    1. ผู้นำกลุ่มองค์กร บริษัท อันนี้ชัดมาก คนเหล่านี้มักได้รับมอบหมายงานให้อย่างชัดเจนว่าเค้าต้องเป็นผู้นำในองค์กร เราหลายคนอาจเป็นเจ้าของกิจการ บริษัท ห้างร้าน แต่การเป็นผู้นำนั้นเป็นทางเลือกหนึ่งที่เราต้องเลือกเป็น การเป็นเจ้าของไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้นำในทันที
    2. ผู้นำในสาขาอาชีพ ไม่ว่าคุณจะเป็นที่ปรึกษา หมอ นักพูด ผู้ประกอบการ นักกฏหมาย หรือว่านักแสดง เราต่างต้องมีวาระที่เราต้องเป็นผู้นำด้วยกันทั้งนั้น
    3. ผู้นำชุมชน วัด โบสถ์ การที่เราไปช่วยเหลือองค์กรการกุศล หรือ องค์กรที่ไม่ได้คาดหวังผลกำไร นั่นคือการเป็นผู้นำอย่างหนึ่ง ไม่เว้นแต่ ผู้นำลูกเสือ หรือว่าเนตนารี
    4. ผู้นำในครอบครัว การที่เราต้องตัดสินใจบางอย่างในเวลาที่เราอยู่บ้าน นั่นคือการเป็นผู้นำอย่างหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะพ่อหรือแม่เท่านั้นที่เป็นผู้นำได้ ลูกๆหลานๆก็เป็นได้
    5. ผู้นำที่ชอบให้กำลังใจ มีคำพูดดีๆที่ให้แรงบันดาลใจคนได้ หรือแม้แต่การเป็นผู้นำในกลุ่มเพื่อนจัดหาสถานที่ในการสังสรรค์
    6. ผู้นำทางด้านความคิด การที่เรามีความคิดที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน นั่นก็คือการเป็นผู้นำอย่างหนึ่ง
    7. ผู้นำทางด้านการกระทำ คุณอาจไม่ได้เป็นคนคิดเยอะ แต่เน้นไปในด้านการกระทำมากกว่า และหลายครั้งทำให้หลายคนอยากทำตามด้วย
    8. สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด ผู้นำชีวิตตัวเอง ไม่มีใครจะตัดสินใจนำพาชีวิตของเราไปได้ดีกว่าตัวเรา (ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ปรึกษาคนอื่นนะครับ) หลายคนคิดว่าชีวิตของเราผูกไว้กับคนอื่นให้คนอื่นเค้าชักนำ แท้จริงแล้ว เราต่างหากที่ไม่เลือกที่จะนำชีวิตของเราเอง เพราะว่าการไม่ตัดสินใจ ตือการตัดสินใจอย่างหนึ่ง
  • 4 เทคนิคการพูดที่ใครๆก็ทำได้

    หนึ่งในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและทำได้ง่ายสำหรับทุกคนคือการพูด แต่อุปสรรคหนึ่งที่มักได้ยินคนรอบข้างคิดคือพูดอย่างไรให้คนฟัง หรือพูดให้น่าฟัง ที่สำคัญทำได้ทุกคนด้วย

    1. ชัดเจน คนส่วนใหญ่มีสมาธิกับเราไม่เกิน 10 วินาที ถ้าสิ่งที่เราพูดไม่ชัดคนฟังจะไม่ฟังต่ออย่างตั้งใจ(หรือไม่ฟังเลย) หลายคนมักเข้าใจผิดว่าคำพูดที่สวยหรูดีกว่าความชัดเจน
    2. ง่าย จินตนาการว่าเรากำลังเล่าเรื่องให้เด็กอายุ 5 ขวบฟัง แล้วจะทำให้เราตัดคำที่เข้าใจยากออกและแปลเป็นภาษาที่ใครๆก็ฟังได้ ความง่ายเป็นการแสดงถึงความใส่ใจต่อผู้ฟังของเรา
    3. เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ถ้าเราไม่สามารถทำให้ตัวเราเองมั่นใจในสิ่งที่พูดแล้ว ก็เป็นการยากที่จะแตะต้องหรือสัมผัสใจผู้ฟังเราได้ อย่าลังเลที่จะเทความกระหายที่อยากบอกพร้อมกับคำพูดที่ชัดเจน และเข้าใจง่าย
    4. ฝึกฝน แม้แต่คนที่นับว่ามีความสามารถในการพูดอย่าง Steve Jobs ยังซ้อมพูด เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน การซ้อมพูดทำได้ง่ายๆ เช่น พูดในหัวเรา หน้ากระจกเงา หรือแม้แต่ลองพูดให้คนรอบกายเราฟัง