Category: Coaching

  • 4 เทคนิคการพูดที่ใครๆก็ทำได้

    หนึ่งในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและทำได้ง่ายสำหรับทุกคนคือการพูด แต่อุปสรรคหนึ่งที่มักได้ยินคนรอบข้างคิดคือพูดอย่างไรให้คนฟัง หรือพูดให้น่าฟัง ที่สำคัญทำได้ทุกคนด้วย

    1. ชัดเจน คนส่วนใหญ่มีสมาธิกับเราไม่เกิน 10 วินาที ถ้าสิ่งที่เราพูดไม่ชัดคนฟังจะไม่ฟังต่ออย่างตั้งใจ(หรือไม่ฟังเลย) หลายคนมักเข้าใจผิดว่าคำพูดที่สวยหรูดีกว่าความชัดเจน
    2. ง่าย จินตนาการว่าเรากำลังเล่าเรื่องให้เด็กอายุ 5 ขวบฟัง แล้วจะทำให้เราตัดคำที่เข้าใจยากออกและแปลเป็นภาษาที่ใครๆก็ฟังได้ ความง่ายเป็นการแสดงถึงความใส่ใจต่อผู้ฟังของเรา
    3. เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ถ้าเราไม่สามารถทำให้ตัวเราเองมั่นใจในสิ่งที่พูดแล้ว ก็เป็นการยากที่จะแตะต้องหรือสัมผัสใจผู้ฟังเราได้ อย่าลังเลที่จะเทความกระหายที่อยากบอกพร้อมกับคำพูดที่ชัดเจน และเข้าใจง่าย
    4. ฝึกฝน แม้แต่คนที่นับว่ามีความสามารถในการพูดอย่าง Steve Jobs ยังซ้อมพูด เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน การซ้อมพูดทำได้ง่ายๆ เช่น พูดในหัวเรา หน้ากระจกเงา หรือแม้แต่ลองพูดให้คนรอบกายเราฟัง
  • ความกลัวคือเพื่อนของเรา

    ความกลัว คือ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากภาวะที่ถูกคุกคาม ซึ่งทำให้รู้สึกอยากจะดึงตัวออกจากภาวะดังกล่าว ความกลัวเป็นสัญชาติญาณที่เกิดจากสิ่งเร้า เช่น ความเจ็บปวด หรือ ความอันตราย (จาก วิกิพีเดีย)(https://en.wikipedia.org/wiki/Fear)

    คนที่กล้าหาญนั้นไม่ใช่ไม่กลัว แต่คนเหล่านั้นรู้จักและเข้าใจความกลัว และรู้ว่าจะจัดการมันได้อย่างไร วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมความกลัวคือเพื่อนเรามาตั้งแต่เราเกิด

    จำเวลาที่เราหัดขึ่จักรยาน ฝึกขับรถ หรือเริ่มฝึกทำอะไรใหม่ คงเป็นเรื่องที่แปลกถ้าคนที่เริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ เหตุผลหลักของความกลัวดังกล่าวคือ ความไม่รู้ และการที่เราได้มีโอกาสฝึกฝนบ่อยครั้ง ความกลัวนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่ได้กลายรูปไปเป็นสติ ที่เตือนให้เราเป็นคนรอบคอบ ระแวดระวัง งานวิจัยจากหลายๆที่ได้บอกว่า ความกลัวคือสัญลักษณ์ของการวิวัฒนาการของมนุษย์ ส่วนหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ของคนนั้นล้วนมาจากความกลัวทั้งสิ้น

    เคยสังเกตุตัวเองมั้ยว่าเวลาที่เราจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนั้น บ่อยครั้ง ต้องถูกกระตุ้นด้วยแรง และอำนาจของความกลัว เนื่องจากความกลัวส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปแบบที่เป็นไปในทางด้านลบ และ การที่เราก้าวผ่านจุดนั้นไปได้เราก็มักมีทักษะใหม่ๆติดตัวมาด้วย แต่ข่าวร้าวของความกลัวคือ ระยะเวลาในการก้าวข้ามผ่านความกลัวของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้น เรื่องบางเรื่องอาจเป็นการง่ายของเราที่จะก้าวผ่านไป แต่กับหลายคนอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลามากกว่าเรา

    จากประสบการณ์ วิธีการก้าวข้ามผ่านความกลัวไปได้เร็วที่สุดคือการกระโดดลงไปทำในเรื่องดังกล่าวทีละเล็กละน้อย และที่สำคัญต้องเตือนตัวเองว่าต้องเรียนรู้เรื่องดังกล่าวให้เร็วที่สุด และพยายามอย่าเรียนซ้ำ เพราะว่าการเรียนซ้ำนั้นบางครั้งจะทำให้เราฝังรากของความกลัวที่อาจต้องใช้เวลาที่นานขึ้นกว่าที่จะก้าวข้ามผ่านไปได้  และยิ่งดีไปกว่านั้นคือการหาเพื่อนร่วมทาง ในการทำเรื่องดังกล่าวไปพร้อมๆกัน เพื่อจะได้เห็นมุมมองของคนอื่นเพื่อเราจะได้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น และอาจแปรความกลัวดังกล่าวให้กลายเป็นคามสนุกไป

    ดังนั้น ก่อนนอนคืนนี้ ลองนึกถึงสิ่งที่เรากลัวซักหนึ่งอย่าง และดูว่าสิ่งนั้นเราได้ลองลงมือทำแล้วหรือยัง และหากได้ลองทำแล้ว เราได้เรียนรู้อะไรจากการลงมือทำหรือไม่ ไม่แน่ คำถามง่ายๆแค่สองคำอาจทำให้เราก้าวข้ามผ่านความกลัวที่เรามีไปได้เร็วขึ้นก็เป็นได้

  • 4 สัญญาณที่บอกว่าเรามีลูกค้าที่จงรักภักดี

    ในโลกของการสรรสร้างผลิตภัณฑ์ หนี่งในปัจจัยที่จะทำให้คนสร้างนั้นมีความสุขคือ การได้เห็นลูกค้าชื่นชมกับสินค้าของเรา และอยากใช้สิ้นค้าเราไปเรื่อยๆ

    แต่มีซักกี่คนที่เข้าใจจริงว่า ลูกค้าที่เค้าเรียกว่าลูกค้าที่จงรักภักดีคืออะไร และเราจะสร้างลูกค้าเหล่านี้ได้อย่างไร สัญญาณเหล่านี้อาจทำให้เราได้ความคิดไปต่อยอดบ้าง

    1. ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าเราตอบโจทย์ชีวิตของเค้าได้ ในโลกนี้มีสินค้ามากมายที่ไม่ตอบโจทย์ แต่ก็มีคนใช้ อาจเป็นเพราะว่า ไม่มีทางเลือก แต่การสร้างลูกค้าที่แท้จริงคือการตอบโจทย์ชีวิตของลูกค้าเรา ไม่ว่าจะทำให้ชีวิตเค้ามีเวลาเยอะขึ้น ได้เจอเพื่อนง่ายขึ้น มีรายได้เยอะขึ้น มีความสุขในการใช้ชีวิต และอื่นๆ
    2. ลูกค้าพร้อมจะบอกเราต่อหน้าว่าสินค้าเรามันห่วยอย่างไร ถ้าคนไม่รักกันจริงเค้าคงไม่บอกว่าเค้าไม่ชอบอะไร และ อาจจะพยายามหนีไปให้ไวที่สุดเพื่อที่จะหาสิ่งที่ดีกว่าเสมอ หากแต่การมีลูกค้าที่กล้าบอกว่าเราไม่ดีอย่างไร กลับการเป็สัญญาณที่บ่งชี้ถึงการสร้าง ความจงรักภักดีให้มีต่อลูกค้าเรา
    3. ลูกค้าพร้อมจะบอกต่ออย่างเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติของคนเลย เวลาที่เจออะไรที่ดีมักอยากจะบอกคนใกล้ตัว สังคมรอบด้าน เพราะว่าการบอกต่อคือลูกค้าเหล่านี้ต้องเคยใช้สินค้าเรามาจนเข้าใจถึงแก่นว่าลูกค้าคนอื่นอยากจะได้อะไรด้วย วันนี้เราได้บอกกล่าวถึง แนวคิดในการสร้างสินค้าของเราหรือไม่
    4. ลูกค้ายังคงใช้สินค้าเรา แม้ว่าจะมีสินค้าอื่นที่ดีกว่า และราคาดีกว่า เราหลายคนคงเคยตกหลุมความเชื่อที่ว่าลูกค้าที่ใช้สินค้าเราซ้ำๆคือคนที่มีความจงรักภักดีต่อสินค้าเรา หากแต่แท้จริงแล้ว ลูกค้าที่รักเราจริง ส่วนใหญ่จะอยู่กับเรา ไม่ใช่พอเจออะไรที่ดีพอๆกันและราคาเท่าไหร่ ก็เผ่นไปใช้สิ้นค้าเหล่านั้นหมด
  • จากข้อมูลสู่สติปัญญา

    undspectrum

    การได้มาซึ่งสติปัญญานั้น ไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่ข้ามคืน หากแต่เป็นความตั้งใจของเราทุกคน (ย้ำว่าทุกคนทำได้) ที่พยายาม แปลข้อมูลดิบของเราให้กลายเป็นประเด็นสิ่งที่เราสามารถที่จะบอกต่อให้คนอื่นไปใช้งานได้ หรือ การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ความรู้นี้เองที่ต้องการ การใช้งานประเด็นที่เราได้มาแล้วกลั่นกรองมาเป็นข้อสรุปซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการตัดสินใจในการแก้ปัญหาครั้งต่อไป

    สติปัญญาเป็นของหายากและไม่สามารถสอนกันได้ อย่างมากที่สุดที่ทำได้ก็แค่เพียงการชี้แนวทาง เพราะการได้มาซึ่งสติปัญญานั้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราต้องทำเอง ส่วนหนึ่งคือการใช้เวลา ถามตัวเองเสมอว่า ดี แย่ และทำอะไรได้ดีกว่าเดิม

    การทำงานแบบอไจล์มีการคิดถึงสิ่งที่เราทำไปแล้วว่าเราสามารถปรับปรุงอะไรร่วมกันได้ ซึ่ง แน่นอนถ้า เรื่องทีปรับปรุงไม่หยั่งรากลึก ผลที่ได้มักไม่ค่อยยั่งยืนหรือว่าเห็นผลสูงสุด หากแต่ทีมใดที่สามารถมีภาพเดียวกันได้ว่าอยากพัฒนาปรับปรุงอะไร จะเป็นการสร้าง สติปัญญาของทีม ซึ่งนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างไม่น่าเชื่อ

  • Young at heart

    One of the benefit of being a son of my mother is the building block of always feel young.

    The gems of lesson that I always have from my mother behavior is always looking for challenges at every point in life. And every challenges that my mom going in, it always comes with the gem of wisdom that she never hesitate to share.

    Something that I have learned more in the mental state of responsibility by Christopher Avery. It is admitting the failure and learn from it is the best way to get out of vicious cycle.

    I believe when we were young we all feel that mistake is always part of the learning. However, as we grow older, we often feel that we should hide our failure and show only our strength.

    I hope we all feel young like a child so we give ourselves a chance to always open for mistake and learn from it.

  • เราจะเผชิญหน้ากับ Mr. Know It All อย่างไร

    โดยส่วนตัวชื่นชมคนที่เป็นคนรอบรู้ ซึ่งก็มีคละเคล้ากันไป ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือว่า ผู้ใหญ่ และด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก เลยรู้สึกตึ่นเต้นทุกครั้งที่ได้เจอคนเหล่านี้

    เช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่เราต้องไปร่วมวงสนทนา และเจอคนที่ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง แต่ดูผิวเผินมาก พอถามลงลึก ก็พยายามตอบ หรือมั่วจนเรางง

    คนเหล่านี้ มักพยายามหยุดคนทุกคนที่ความคิดเห็นไม่เหมือนกับเค้า และรู้สึกว่าความคิดของตนเองถูกเสมอ คนเหล่านี้เดูเหมือนรู้ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างที่เค้ารู้เป็นแค่ผิดเผินไปหมด วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำความเข้าใจแรงบันดาลใจเบื้องหลัง

    นักวิชาการหลายคนบอกว่า คนเหล่านี้มักเข้าใจผิด ระหว่าง ความรู้ กับ ความเข้าใจ และแยกไม่ออกว่า อะไรที่ตัวเองพอมีความรู้ หรืออะไรที่มีทั้งความรู้ และสามารถวิเคราะห์เป็นความเข้าใจที่นำไปใช้ได้จริงด้วย คนเหล่านี้รู้สึกว่าการได้อ่านเนื้อหาบางอย่าง ผ่านตาไปมาก็จะทำให้เค้าสามารถไปคิดว่าเป็นความเข้าใจได้

    วิธีการที่จะทำงานกับคนเหล่านี้คือ การไม่ทำอะไร เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เราพยายามจะไปแก้ไขคนเหล่านี้ เรามักตกเข้าไปอยู่ในวงสนทนาที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่นัก ทางที่ดีคือ รับฟังคนเหล่านี้ และ จากไปอย่างสงบ เวลาจะเป็นสิ่งที่ทำให้ความกระจ่างชัดมากขึ้น ซึ่งความชัดเจนนี้จะเกิดกับคนเหล่านี้เอง แต่ถ้าบังเอิญคนเหล่านี้เป็นเพื่อนที่เรารัก สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำคือ การคุยกับเค้าเป็นการส่วนตัว และบอกไปตรงๆถึงเรื่องที่ดูเหมือนเค้าจะรู้ไปหมด แต่เป็นเพียงแค่ผิวๆ แต่ระลึกไว้เสมอว่า เราต้องพูดความรู้สึก ของเราด้วยความรัก (ถ้าทำไม่ได้อย่าทำ)

     

  • แน่ใจหรือว่า Root Cause Analysis ช่วยป้องกันปัญหาในอนาคตได้

    ด้วยความที่พื้นฐานจบทางด้านคอมพิวเตอร์ กระบวณการคิด เลยออกไปในเชิงตรรกะ แบ่งย่อยงานออก แล้วหาวิธีแก้แต่ละจุดและประกอบกับ และคาดหวังว่าจะแก้ปัญหาได้เสมอ ต้องยอมรับว่าตลอดระยะเวลาในการทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์เชื่ออย่างนั้นมาตลอดว่าถ้าเราซอยปัญหาได้และแก้แต่ละจุดสุดท้ายจะแก้ปัญหาที่ใหญ่ขึ้นได้ แต่วันหนึ่งมีโอกาสได้คุยกับผู้ไหญ่ท่านหนึ่ง เลยทำให้รู้ว่า การแตกงานหรือการซอยปัญหาแล้วพยายามหารากของปัญหาเป็นแค่การช่วยให้เราป้องกันปัญหาในลักษณะเดิมๆไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่ไม่สามารถที่จะทำนายปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้

    ท่านบอกว่า ลองคิดดูสิว่านักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะทำความเข้าใจสมองแต่ละส่วนว่ามันทำงานอย่างไร แล้วมันจะสร้างอารมณ์พฤติกรรมของเราได้อย่างไร กว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา คนเรายังทำความเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ได้เพียงแค่ หนึ่ง เปอร์เซ็นเท่านั้น หรือแม้แต่ร่างกายของเราเอง ทุกวันนี้วงการแพทย์ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของภาวะหัวใจล้มเหล่วได้

    แล้ว Root Cause  Analysis  ไม่มีประโยชน์เลยหรือ คำตอบคือ มีประโยชน์ หากแต่ประโยชน์ของมันคือสามารถมองย้อนไปในอดึตเท่านั้น หรือมันอาจจะช่วยแก้ปัญหาที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ไม่สามารถช่วยเราคาดการณ์ว่าจะมีปัญหาอะไรใหม่ๆในอนาคตได้

    คำถามที่อยากฝากให้คิดคือ เรากำลังติดกับดักของการเอาสาเหตุของปัญหาเดิม มาทำนายหรือตึกรอบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของงานเรา ทีมเรา คนของเราอยู่หรือเปล่า

  • พลังของการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง

    งานวิจัยหนึ่งที่น่าสนใจของ  Brene Brown  ในเรื่องจุดอ่อนของผู้คน คือการพยายามถอดรหัสเพื่อเข้าถึงความรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยเพื่อจะปลดแอก ผู้คน และตนเองจากพันธนาการดังกล่าว แต่แล้วผลที่ได้กลับตาลปัตรเป็น ว่าเราไม่สามารถคาดเดาความเปราะบางนี้ได้ และ เรายิ่งไปกว่านั้นคือ เราไม่สามารถควบคุมมันได้

    เรื่องราวมันเกิดขึ้นจากการที่เธอพยายามหาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าคนเราอยู่ได้ด้วยการสร้างความเชื่อมโยงต่อกันและกัน และมันทำให้ชีวิตเรามีเป้าหมาย และความหมาย ธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเรา เวลาที่ถูกถามถึงเกี่ยวกับความรัก คำตอบที่ได้คือความผิดหวัง หรือว่าอกหัก เวลาที่เราถามถึงการเป็นส่วนหนึ่งของอะไรซักอย่าง หรือมีเป้าหมายร่วมกับอะไรซักอย่าง เรามักนึกถึงเหตุการณ์ที่เราถูกกีดกันออกไป ความรู้สึกผิด หรือ shame เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยิ่งถ้าเราพยายามปกปิด มันก็จะยิ่งแสดงผลมากขึ้น คนที่ไม่รู้จักความอับอาย คือคนที่จะไม่มีวันเข้าใจความเห็นอกเห็นใจ หรือ การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น และหนทางเดียวที่เราจะก้าวข้ามความรู้สึกผิดเหล่านั้นคือการเผยมันออกมาเพื่อให้คนอื่นได้รับรู้ถึงสิ่งที่เราเป็น

    ส่วนหนึ่งของความพยายามของ เบรเน บราว คือการหาความสัมพันธ์ระหว่างคนสองกลุ่มที่มีความรู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่มีคุณค่าต่อสิ่งรอบตัว (รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รักของผู้คน) และคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า (รู้สึกว่าตัวเองอาจไม่ดีพอ) การทดลองมากมายต่างบอกว่า

    คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่านั้นเชื่อว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่มีคุณค่า และมีความกล้าที่จะบอกว่าตัวเองไม่สมบูรณ์ (มีจุดอ่อน)

    คนเหล่านี้มีความกล้าที่จะแสดงออกว่าไม่สมบูรณ์ มีจุดบกพร่อง และยอมรับมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ คนเหล่านี้เชื่อว่าความไม่สมบูรณ์ทำให้โลกนี้สวยงาม  คนเหล่านี้ไม่ได้บอกว่าความอ่อนแอเป็นเรื่องที่เค้าชอบ แต่บอกว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิต คนเหล่านี้ไม่ลังเลที่จะบอกรักคนอื่นก่อน ทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่าจะได้ความรักกลับหรือไม่ หรือ คนคนเหล่านี้ยอมลงทุนให้โอกาสกับคนรอบด้านหรือช่วยเหลือคนเหล่านั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข

    จากประสบการณ์ส่วนตัวผมมักมองเห็นผู้คนพยายามที่จะพยายามที่จะชินชากับความอ่อนแอที่เรามีโดยที่พยายามไม่เอ่ยถึงมัน หากแต่การสร้างความชินชาให้กับตัวเองเหล่านั้นกลับสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงที่ไม่น่าเชื่อ เพราะว่ามันกลับสร้างความรู้สึกไม่มีคุณค่าของตัวเราต่อสังคมรอบด้าน และไม่สามารถหลุดออกจากโลกของตัวเองได้ วิธีการที่ดีที่สุดคือการเปิดเผยและยอมรับกับคนรอบด้านว่าเราไม่สมบูรณ์ และแบ่งปันเพื่อให้เรามีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้นกับคนรอบข้าง และเราอาจจะได้รับพลังจากการปลดแอกตัวเองก็เป็นได้

  • รายการที่จะไม่ทำ TO-Not-Do List

    สิ่งที่ยากไม่ใช่บอกว่าทำได้ แต่คือการบอกว่าทำได้แต่ไม่ทำ

    ทักษะอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จคือการที่สามารถบอกตัวเองว่าอยากทำอะไร แล้วต้องเขียนมันออกมาได้ว่าอยากทำอะไรบ้าง

    หรือ ภาษาอังกฤษที่เค้าว่า To Do List หากแต่ Tom Peters ผู้นำทางด้านการบริหารจัดการที่โด่งดังคนหนึ่ง กลับบอกว่า

    เราควรจะทำสิ่งที่ท่านเรียนว่า To Don’t Do List คือ พฤติกรรมที่เราไม่ต้องการที่จะทำ หรือไม่พึงประสงค์ที่มีผลต่อพลังงานชีวิตของเรา หรือทำให้เราเสียสมาธิ

    ถ้าไม่เชื่อลองดูว่าทุกๆอาทิตย์ลองเขียนสิ่งที่ไม่อยากทำออกมา และลองพยายามไม่ทำพฤติกรรมดังกล่าว แล้วลองดูว่าเราจะมีความสุขมากขึ้นแค่ไหน

    โดยส่วนตัวเชื่อว่า บางครั้ง สิ่งที่เราไม่อยากทำ อาจทำให้เป็นเหตุให้เรามีประสิทธิภาพมากกกว่า สิ่งที่เราไปสัญญิง สัญญากับคนอื่นว่าจำทำให้ก็เป็นได้

    NotToDoList

  • ถ้า ฉันมี _______มากขึ้น ฉันจะ__________

    บ่อยครั้งแค่ไหนที่เรามักบอกกับตัวเองว่า

    ถ้าฉันมีเงินล้าน ฉันจะทำ_____

     ถ้าฉันเกษียน ฉันจะช่วยเหลือสังคม

    ถ้าฉันมีเงินมากพอ ฉันจะพูดสิ่งที่ฉันคิด

    ถ้าฉันเป็นเจ้าของ ฉันจะ……

    ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่มักได้ยินจากผู้นำมากมายที่มีโอกาสได้สัมผัสว่า เค้าจะทำตามความปราถนาอย่างแรงกล้า ก็ต่อเมื่อเค้าได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

    ทุกอย่างต้องรอไปก่อน รอไปก่อน รอๆๆๆ

    ไม่ได้กำลังบอกว่าต้องทำทุกอย่างทันที เพราะว่าสิ่งที่เราอยากทำนั้นมีความสำคัญไม่เท่ากัน

    หากแต่อยากให้เรานึกดีๆว่า เหตุผลที่เราพยายามบอกว่าไม่พูด หรือไม่ทำบางอย่างนั้น มันทำไม่ได้จริงๆ เป็นแผนการอันล้ำลึก หรือเป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่จะก้าวไปในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย และอาจจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล