Tag: #บล็อกกันวันละหน

  • ฝาแฝดที่หลายคนมองข้าม (Innovation & Change are twins)

    innovation_change

    ประสบการณ์มากกว่า 15 ที่เป็นทั้งส่วนหนึ่งที่ได้รับผบกระทบของการเปลี่ยนแปลง ในองค์กร และในฐานะที่เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงในที่ต่างๆทำให้ตกผลึก ความคิดหลายๆอย่าง ซึ่งได้มีโอกาสถกกับพี่น้อง ทั้งที่เป็นคนทำงาน และคนที่เป็นซีอีโอ ประธานกรรมการ ในธุรกิจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเงิน โทรคมนาคม การเกษตร ธุรกิจขายปลีก และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในเวทีไทย และเวทีระดับโลก

    สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากๆจากการได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีประสบการณ์จริง คือ การที่ยิ่งทำมาก กลับทำให้รู้น้อยลง และฟังเยอะขึ้น (ฟังจริงๆ) และทำให้โอกาสในการปฏิรูปองค์กรนั้นเป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วย

    การปฏิรูปในองค์กรต้องมีการสนับสนุนในระดับผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์ตรงในหลายๆโอกาสทำให้ได้รู้ว่าการปฏิรูปมักถูกพูดถึงมากในห้องประชุมของผู้บริหารระดับสูงเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น และบ่อยครั้งทุกอย่างก็กลับไปทำเหมือนเดิมในไม่กี่เดือน

    ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่แค่ เปลี่ยนอย่างไร แต่หากหมายรวมถึง จะรักษาสภาวะใหม่ หรือที่เราเรียกว่าวัฒนธรรมใหม่ได้อย่างไรด้วย

    และถ้าเรามองเรื่องวัฒนธรรม คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะหยิบคำยอดฮิตที่ บรรดานักปฏิรูป เอ่ยถึงเสมอ ทั้งที่เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง (ซึ่งส่วนตัวเคยเข้าใจแบบผิวเผินเช่นกัน)

    Innovation ใน wikipedia ได้ให้ความหมายไว้ว่า

    นวัตกรรม หมายถึงการทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีใหม่ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กร ไม่ว่าการเปลี่ยนนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติการเปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคน หรือการพัฒนาต่อยอด ทั้งนี้ มักมีการแยกแยะความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างการประดิษฐ์คิดค้น ความคิดริเริ่ม และนวัตกรรม อันหมายถึงความคิดริเริ่มที่นำมาประยุกต์ใช้อย่างสัมฤทธิ์ผล (Mckeown, 2008) และในหลายสาขา เชื่อกันว่าการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นนวัตกรรมได้นั้น จะต้องมีความแปลกใหม่อย่างเห็นได้ชัด และไม่เป็นแค่เพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป็นต้นว่า ในด้านศิลปะ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐ ในเชิงเศรษฐศาสตร์นั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเพิ่มมูลค่า มูลค่าของลูกค้า หรือมูลค่าของผู้ผลิต เป้าหมายของนวัตกรรมคือการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อทำให้สิ่งต่างๆเกิดเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นวัตกรรมก่อให้ได้ผลิตผลเพิ่มขึ้น และเป็นที่มาสำคัญของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

    โดยส่วนตัวมองเรื่อง นวัตกรรม เป็นกลยุทธที่ผู้บริหารต้องเข้าใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติได้อย่างเกิดผลสูงสุด โดยสรุปมีทั้งหมด 3 รูปแบบ

    1. นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) หนึ่งในนวัตกรรมที่หลายๆองค์มักมองข้ามคือการพัฒนาวิธีการทำงานที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวณการในการตัดสินใจ หรือ วิธีการทำให้การออกสินค้านั้นง่ายขึ้น
    2. นวัตกรรมแบบ วิวัฒนาการ (Evolutionary) นวัตกรรมแบบนี้มักพูดถึงการมองหารูปแบบสินค้าแบบใหม่ ที่ดีกว่าเดิม เช่น การที่ Apple ออก iPhone ครั้งแรกที่ผนวกการฟังเพลงเข้าการสื่อสาร ในปี 2004 ไม่ใช่ของใหม่โดยสิ้นเชิงแต่หากเป็นพัฒนาการที่ก้าวล้ำ Apple ได้ลองและเกิดผลอย่างสูง ส่วนใหญ่นวัตกรรมแบบนี้มักเป็นผลลัพธ์ชัดเจนในผลประกอบการขององค์กร
    3. นวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง (Revolutionary) นวัตกรรมแบบนี้เป็นแบบก้าวกระโดด คือแทบไม่มีเค้าโครงของเดิมเหลืออยู่เลย เช่น บางบริษัทอาจเคยเป็นบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ แต่ผันตัวเองไม่อยู่ในธุรกิจยานยนต์ หรือแม้แต่การเปลี่ยน ค่านิยม ที่ไม่เคยทำมาก่อน การเปลี่ยนแปลงในระดับนี้นั้นส่วนใหญ่นั้นสร้างความตระหนกตกใจให้กับคนในองค์กรเป็นอย่างมาก แต่ว่าถ้าทำได้องค์กรจะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

    ดังนั้นหากองค์กรได้ต้องการที่จะนวัตกรรมใหม่ การปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะว่าไม่มีองค์กรที่ประสบความสำเร็จใดๆที่ไม่มีนวัตกรรม และไม่มีนวัตกรรมใดๆที่ไม่มีการปฏิรูปหรือการเปลี่ยนแปลง

     

     

  • เรากำลังทำร้ายตัวเอง (อย่างไม่รู้ตัว) อยู่หรือเปล่า

    วันก่อนภรรยามาเล่าให้ฟังว่า ในระหว่างที่เดินออกจากห้องนอนลูก อยู่ดีๆลูกชายแฝดคนพี่ก็กรีดร้องขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ (อายุสี่เดือน) เธอเลยวิ่งเข้าไปในห้องด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นเป็นทั้งภาพที่ขำขันและสงสาร

    แอสตัน ลูกชายคนโตกำลังกำผมตัวเองแน่น และร้องไห้อยู่ ยิ่งกำแน่น ก็ยิ่งดึงแรง ยิ่งร้องดัง ต้องใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าแอสตันจะยอมปล่อยมือออกจากผมตัวเอง มองดูเป็นเรื่่องขำขัน แต่เราก็มานั่งคุยกันว่า เราทั้งคู่เคยทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเจ็บอยู่หรือเปล่า และเราจะช่วยกันเตือนกันและกันได้อย่างไร เพื่่อให้ครอบครัวที่ดีสำหรับลูกของเรา

    เลยมีโอกาสมานั่งคิดว่าบ่อยครั้งแค่ไหนที่เรามักเห็นคนที่เรารัก และหวังดีกำผมตัวเอง และดึงแรงๆเพราะความไม่รู้ และเราจะช่วยให้เค้ารู้ตัวได้เร็วแค่ไหนว่า แค่ปล่อยมือก็หายเจ็บแล้่ว

     

    20131217-024946.jpg

  • No, I don’t do Agile. I’m being agile

    With all respect, many people approach me with the question such as

    – Are you the one to doing Agile for the organization?

    – Can you tell me how to do Agile in my team?

    – Why Agile is so hard, how can I get one?

    – etc.

    My first question to those who want to do Agile is “Trust me, you don’t want to do Agile, it’s waste of time”, most response was a bit shocked and ask why. Why I am the Agile Manifesto Advocacy but keep telling people to go away with doing Agile.

    And that’s where the conversation begin, it’s normally about 10-15 mins talk and they get the idea.

    In brief, trust me, there is hardly any company in this world that want to do Agile because Agile itself is not putting bread on your table. The success of any company is the ability to being agile (as a verb) and use the Agile Manifesto as a guideline on how to achieve being Agile in software development.

    So next time you want to do Agile, ask yourself, how can you apply the Agile Manifesto values to your daily work because you don’t want to do Agile, you want to live agile.

  • แก้การเมืองด้วยอไจล์ (ลองคิดดู)

    ช่วงนี้พี่น้องอไจล์66 หลายคนเริ่มกระโดดเข้ากองไฟ ให้แง่คิดเรื่องการเมือง ในฐานะคนหนึ่่งที่เป็นประชาชนคนไทย คงอดไม่ได้ที่จะแบ่งปันมุมมอง

    เนื่่องจากครอบครัวเป็นคนไต้หวัน เคยไปทำงานที่อเมริกา อังกฤษ และหลายๆประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศจีนใกล้ๆเราด้วย

    อยากจะบอกว่า ไม่เห็นมีคนซักประเทศที่ชอบการเมืองของตัวเอง และบ่อยครั้งก็มักได้ยินว่า เราน่าจะทำอย่างประเทศนั้น ประเทศนี้บ้าง แต่อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือทุกๆความขัดแย้ง มักลงเอยด้วยบทสรุปที่นำพาการเมืองไปสู่จุดใหม่ที่แตกต่างจากเดิม

    ครับมันเป็นพัฒนาการ และ บุคคลที่เข้าใจว่า การเรียนรู้คือสิ่งสำคัญ ก็จะมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าง่ายขึ้น

    โดยส่วนตัวเชื่อว่าการเมืองสำคัญ แต่สิ่งทีสำคัญกว่านั้น คือวัฒนธรรมของการมองย้อนดูตัวเองว่าเราได้มี่ส่วนที่ทำให้การเมืองเป็นอย่างทุกวันนี้หรือไม่ การแก้ปัญหาโดยการบอกว่าคนนั้นคนนี้เป็นตัวปัญหา ไม่เคยแก้ปัญหาให้ใครได้ และ ส่วนใหญ่สร้างปัญหามากขึ้นด้วยซ้ำ

    คงไม่บอกว่าเราควรทำตัวอย่างไร เพราะว่าส่วนตัวอ่านรัฐธรรมนูญไม่จบ และ ไม่เข้าใจรายละเอียดมากนัก

    หากแต่ถ้าให้ลองใช้หลักการของอไจล์ มันอาจจะทำให้การเห็นภาพการเมืองของเราเปลี่ยนไปซัก 1 องศา

    หลักการอไจล์ : http://agilemanifesto.org/iso/th/

    1. อไจล์เน้นให้เราคุยกัน หาข้อตกลงร่วมกัน มากกว่ากระบวณการ หรือ เครื่ื่องมือต่างๆที่เรามี บางทีแอบสงสัยว่าทำไมการคุยกันถึงไม่มีการอัดวีดีโอและแบ่งปันให้คนอื่นดูบ้าง
    2. สินค้าของการเมืองในมุมของผมคือนโยบาย ฉะนั้น นโยบายที่ใช้ได้จริง โดยที่ไม่ต้องรอการวิเคราะห์ให้ครบถ้วนล้านเปอร์เซ็น จึงเป็นสิ่งทีอไจล์ยกย่อง
    3. อไจล์เน้นเรื่่องการเก็บความคิดเห็นของคนต่อสินค้าที่เรามี การเมืองไทยในรูปแบบอไจล์น่าจะดีขึ้นถ้าเรามีการเก็บความรู้สึกของประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงกับนโยบาย หลายคนบอกว่าทำไม่ได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเรายังไม่ได้ลอง
    4. อไจล์เน้นการตอบสนองต่การเปลี่ยนแปลง การเมืองแบบอไจล์นั้น คือการสามารถปรับวาระแบบแผนได้เร็วมากว่าสี่ปี คนดีไม่ใช้น้อย คงไม่ได้กำลังบอกว่าแผนงานไม่มีประโยชน์ หากแต่การปรับเปลี่ยนแผนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะดีกว่า

    แบ่งปันกันไปตามอรรถภาพ ตามมุมมอง ไม่ได้อิงสีใดสีหนึ่งเพราะว่า ส่วนตัวทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนเป็็นสิ่งสำคัญ ออกไปทำหน้าที่บ้างในฐานะประชาชนคนไทย ก็ทำบ้าง แล้วแต่วาระ และโอกาส แต่รู้สึกว่า ณ เวลานี้ เราต้องการคนทำงานเพื่่อ ชาติมากกว่า การพยายามสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม

    จากคนรักประเทศไทยคนหนีึ่ง ไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใด (ไม่ใช่ไทยเฉย ไทยเฉิ่ม ไทยอีกมากมาย ที่ช่างสรรหาำคำเพื่อสร้างความแตกแยก)

  • คุณรู้จักเบื้องลึกตัวคุณดีแค่ไหน

    ภาพฝาผนังที่วิจิตรการ รถยนต์ดีไซล์ล้ำโฉบเฉี่ยว นวัตรกรรมต่างๆที่เรามีโอกาสได้สัมผัส หรือแม้แต่ คนโด่งดังมากมายในโลก ภาพวันที่เราเห็นนั้นดูสวนงาม น่ายกย่อง และ หลายคนก็อยากได้อยากมี อยากเป็น แต่จะมีซักกี่คนได้ลองมองไปลึกๆว่าคนเหล่านั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง

    การไขว่คว้าหาตัวอย่างเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะว่า การกระทำที่เป็นตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าล้านคำสอน หากแต่มุมมองความคิดที่แตกต่างนั้น แท้จริงแล้ว เราสามารถหาได้จากตัวเราเช่นกัน

    โดยส่วนตัวเชื่อว่า คนเรานั้นไม่มากก็น้อยมีอยู่สองมุม มุมที่เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยแสดงออก หรือ หลายคนบอกว่าเป็นเบื้องหลังของการกระทำของเรา สิ่งเหล่านี้ได้แก่ มุมมอง ความคิด ความมุ่งมั่น การวางแผน การตัดสินใจ หรือแม้แต่ จุดอ่อน จุดแข็ง ค่านิยม หรือคำจำกัดความของคำว่าประสบความสำเร็จของเรา และคงไม่แปลกเลยที่เบื้องลึกเหล่านี้ของเราจะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา วุฒิภาวะ ประสบการณ์ที่ได้รับมา

    อีกมุมมองที่เรามีนอกจาก มุมมองเบื้องหลัง คือ เบื้องหน้าของเรา เบื้องหน้าของเรานั้น ได้แก่ คำพูด การแสดงออก และความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนรอบตัวเรา

    เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเรานั้นมีความสัมพันธ์กันแบบชนิดที่แยกกันแทบไม่ออก จนหลายคนหลงคิดว่าเค้าไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมาก หากแต่ถ้าเราพยายามมองลงไปให้ลึกมากขึ้น เราจะพบว่า การที่จะมีชีวิตที่มีประสบความสำเร็จ เราจำเป็นต้องใช้เวลาพัฒนาเบื้องหน้า และเบื้องหลังให้พอๆกัน

    คนหลายที่ได้สัมผัสมา มีความปราถนาที่จะพัฒนารูปร่างภายนอก บุคลิก หรือถ้าเป็นคนที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ หัวหน้างาน ผู้นำชุมชน มักมองเห็นแต่ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย หรือแม้แต่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แต่หากแท้จริงแล้ว เราต้องใช้เวลาคิดใคร่ครวญตรึกตรองถึงความคิดเบื้องลึกของเราด้วย เช่น เราต้องการที่จะเป็นใคร ผู้นำในความคิดของเราเป็นอย่างไร และลึกๆของเราต้องการบรรลุวัตถุประสงค์อะไรในชีวิต ทำไมเราถึงอยากได้ และ เราคิดว่าเราจะได้มันมาได้อย่างไร คำถามสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้เราใช้เวลาไม่กี่นาทีกับตัวเองได้ เพื่อเราะจะได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของเรา

    Mobius-Strip

     

  • จากข้อมูลสู่สติปัญญา

    undspectrum

    การได้มาซึ่งสติปัญญานั้น ไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่ข้ามคืน หากแต่เป็นความตั้งใจของเราทุกคน (ย้ำว่าทุกคนทำได้) ที่พยายาม แปลข้อมูลดิบของเราให้กลายเป็นประเด็นสิ่งที่เราสามารถที่จะบอกต่อให้คนอื่นไปใช้งานได้ หรือ การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ความรู้นี้เองที่ต้องการ การใช้งานประเด็นที่เราได้มาแล้วกลั่นกรองมาเป็นข้อสรุปซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการตัดสินใจในการแก้ปัญหาครั้งต่อไป

    สติปัญญาเป็นของหายากและไม่สามารถสอนกันได้ อย่างมากที่สุดที่ทำได้ก็แค่เพียงการชี้แนวทาง เพราะการได้มาซึ่งสติปัญญานั้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราต้องทำเอง ส่วนหนึ่งคือการใช้เวลา ถามตัวเองเสมอว่า ดี แย่ และทำอะไรได้ดีกว่าเดิม

    การทำงานแบบอไจล์มีการคิดถึงสิ่งที่เราทำไปแล้วว่าเราสามารถปรับปรุงอะไรร่วมกันได้ ซึ่ง แน่นอนถ้า เรื่องทีปรับปรุงไม่หยั่งรากลึก ผลที่ได้มักไม่ค่อยยั่งยืนหรือว่าเห็นผลสูงสุด หากแต่ทีมใดที่สามารถมีภาพเดียวกันได้ว่าอยากพัฒนาปรับปรุงอะไร จะเป็นการสร้าง สติปัญญาของทีม ซึ่งนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างไม่น่าเชื่อ

  • Young at heart

    One of the benefit of being a son of my mother is the building block of always feel young.

    The gems of lesson that I always have from my mother behavior is always looking for challenges at every point in life. And every challenges that my mom going in, it always comes with the gem of wisdom that she never hesitate to share.

    Something that I have learned more in the mental state of responsibility by Christopher Avery. It is admitting the failure and learn from it is the best way to get out of vicious cycle.

    I believe when we were young we all feel that mistake is always part of the learning. However, as we grow older, we often feel that we should hide our failure and show only our strength.

    I hope we all feel young like a child so we give ourselves a chance to always open for mistake and learn from it.

  • วิธีการตัดสินใจเพื่อปรับกลยุทธ์ของสินค้า

    ปัจจัยอย่างหนึ่งของการสร้างสินค้าที่เอาชนะใจคนได้นั้น คือการตัดสินใจว่าสินค้าเราควรจะมี ลักษณะการทำงานอย่างไร ควรเพิ่มอะไรมั้ย วิธีการง่ายๆที่ส่วนตัวเคยสัมผัส สังเกตุ ที่น่าจะพอมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังคิดว่าเราน่าจะไปทางไหน

    โยนเหรียญหัวก้อย

    ข้อดีของการโยนหัวก้อยคือ เร็ว แต่โอกาสที่จะถูกนั้นมีเพียงแค่ 50% เท่านั้น

    ไปตามสัญชาติญาณ

    อันนี้ฝรั่งเค้าเรียกว่าตัดสินใจตาม Gut Feeling ข้อดีคือเร็ว และคุณอาจกลายเป็น สตีฟ จ๊อบ คนถัดไป ถ้าสัญชาติญาณของคุณถูกมากกว่า 80 % ข้อเสียคือ ไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจว่าทำไม และ ถ้าหากเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ทุกๆนิ้วมือ นิวเท้าของเพื่อนเราจะพุ่งเป้ามาที่เรา

    ประชาธิปไตย โหวตเอา

    อันนี้หลายคนชอบและมักใช้เสมอ ข้อดีของมันคือได้ใจทีมดี และได้เข้าใจความคิดเห็นและความเชี่ยวชาญของคนในทีม แต่ข้อเสียคือ หลายครั้งการเมืองในทีมก็ทำให้การตัดสินลากยาว จนบางครั้งไม่ได้ตัดสินใจ (ส่วนมากเห็นบ่อย) และข้อเสียที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงคือ บางครั้งการคิดกันเป็นกลุ่มก็มองข้ามเหตุผลไปเหมือนกัน หรือไม่จริง พวกมากลากไป?

    การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)

    วิธีนี้เป็นวิธีที่นักการตลาดหลายคนชอบ ข้อดีคือมีโอกาสได้สัมผัสกับถึงความรู้สึกของผู้ใช้งานของเรา การที่เราใช้เวลาเพื่อสังเกตุพฤติกรรมจะทำให้เราเห็นปัญหา หรือแม้กระทั่งโอกาสที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน หลายคนใช้วิธีอัดวิดีโอเวลาคนมาใช้สินค้าของเรา และมันก็เป็นหลักฐานชั้นดีเยี่ยมเพื่อให้ทีมเข้าใจผู้ใช้งานจริงมากขึ้น ข้อเสีย ที่เห็นได้ชัดก็คือ กลุ่มของคนที่เราไปสัมผัสอาจไม่ได้เป็นกระบอกเสียงที่แท้จริงของผู้ใช้งานทั้งหมด และ

    แบบสำรวจ (Survey)

    อันนี้โดยส่วนตัวไม่ชอบ เพราะว่าเคยเจอแบบสำรวจแบบต้องทำกัน เป็นชั่วโมงมึนกันพอดี ข้อดีของวิธีนี้คือ มีโอกาสเข้าถึงความเข้าใจของคนหมู่มาก และใช้เวลาไม่นานนักเมื่อเทียบกับ การวิจัยเชิงคุณภาพ แต่ข้อเสียที่พอเห็นได้คือคนที่ทำแบบสำรวจมักไม่ได้คิดถึงเวลาที่ใช้งานสินค้าจริง และคนหลายคนที่เป็นพวกขึ้สงสัยอาจรู้สึกไม่เข้าใจว่าแบบสำรวจเราทำไปเพื่ออะไร

    A/B Testing  (พยายามแปลเป็นไทยว่า ลองของจริงหลายๆแบบ กับกลุ่มคนที่ใช้งานจริง แล้วเก็บเป็นสถิติ)

    หลักฐานทางสถิติจะทำให้เราเห็นถึงแต่ละอย่างที่เราทำเพิ่มว่าถูกใจลูกค้ามากแค่ไหน ส่วนใหญ่ที่เห็นบ่อยคือ ถ้า Confidence Level (คนชอบ หรือว่าคลิก กดบ่อย) มากกว่า 90% ถึงจะทำของนั้นออกสู่ตลาด การเก็บข้อมูลนี้แหล่ะที่จะเปิดตาของเราให้เห็นชัดขึ้น และส่วนใหญ่ผู้บริหารมักเห็นด้วยกับผลลัพธ์อย่างไม่มีเงื่อนไข (ก็แหง ตัวเลขเห็นๆกันอยู่) ข้อเสียของวิธีนี้คือต้องเขียนโคดนานขึ้นและต้องประสานงานกับฝ่ายการตลาดให้ดีมากๆ และพอเวลาเราเริ่มทำมักใช้เวลาหลายอาทิตย์กว่าที่จะได้ข้อมูลเพียงพอเพื่อใช้วิเคราะห์ ข้อเสียอีกอย่างคือ เราไม่สามารถทดลองได้หลายๆโมเดลได้

     

  • รายการที่จะไม่ทำ TO-Not-Do List

    สิ่งที่ยากไม่ใช่บอกว่าทำได้ แต่คือการบอกว่าทำได้แต่ไม่ทำ

    ทักษะอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จคือการที่สามารถบอกตัวเองว่าอยากทำอะไร แล้วต้องเขียนมันออกมาได้ว่าอยากทำอะไรบ้าง

    หรือ ภาษาอังกฤษที่เค้าว่า To Do List หากแต่ Tom Peters ผู้นำทางด้านการบริหารจัดการที่โด่งดังคนหนึ่ง กลับบอกว่า

    เราควรจะทำสิ่งที่ท่านเรียนว่า To Don’t Do List คือ พฤติกรรมที่เราไม่ต้องการที่จะทำ หรือไม่พึงประสงค์ที่มีผลต่อพลังงานชีวิตของเรา หรือทำให้เราเสียสมาธิ

    ถ้าไม่เชื่อลองดูว่าทุกๆอาทิตย์ลองเขียนสิ่งที่ไม่อยากทำออกมา และลองพยายามไม่ทำพฤติกรรมดังกล่าว แล้วลองดูว่าเราจะมีความสุขมากขึ้นแค่ไหน

    โดยส่วนตัวเชื่อว่า บางครั้ง สิ่งที่เราไม่อยากทำ อาจทำให้เป็นเหตุให้เรามีประสิทธิภาพมากกกว่า สิ่งที่เราไปสัญญิง สัญญากับคนอื่นว่าจำทำให้ก็เป็นได้

    NotToDoList

  • ถ้า ฉันมี _______มากขึ้น ฉันจะ__________

    บ่อยครั้งแค่ไหนที่เรามักบอกกับตัวเองว่า

    ถ้าฉันมีเงินล้าน ฉันจะทำ_____

     ถ้าฉันเกษียน ฉันจะช่วยเหลือสังคม

    ถ้าฉันมีเงินมากพอ ฉันจะพูดสิ่งที่ฉันคิด

    ถ้าฉันเป็นเจ้าของ ฉันจะ……

    ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่มักได้ยินจากผู้นำมากมายที่มีโอกาสได้สัมผัสว่า เค้าจะทำตามความปราถนาอย่างแรงกล้า ก็ต่อเมื่อเค้าได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

    ทุกอย่างต้องรอไปก่อน รอไปก่อน รอๆๆๆ

    ไม่ได้กำลังบอกว่าต้องทำทุกอย่างทันที เพราะว่าสิ่งที่เราอยากทำนั้นมีความสำคัญไม่เท่ากัน

    หากแต่อยากให้เรานึกดีๆว่า เหตุผลที่เราพยายามบอกว่าไม่พูด หรือไม่ทำบางอย่างนั้น มันทำไม่ได้จริงๆ เป็นแผนการอันล้ำลึก หรือเป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่จะก้าวไปในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย และอาจจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล