Category: transformation

  • What is Scaling Scrum?

    Good idea on scaling scrum

    kenschwaber's avatarKen Schwaber's Blog: Telling It Like It Is

    Scaled Professional Scrum is based on unit of development called a Nexus. The Nexus consists of up to 10 Scrum teams, the number depending on how well the code and design are structured, the domains understood, and the people organized. The Nexus consists of practices, roles, events, and artifacts that bind and weave the work together to produce a whole.

    We have found that when we get above ten Scrum teams that their ability to create usable products frays. The complexity and the dependencies that require resolution are overwhelming. The ability to create a “done” increment and not leave behind a pile of technical debt is daunting without shortcuts that reduce product viability.

    Some high tech vendors claim to regularly employ 100 or so Scrum teams on products and product families. They are not scaled, however. Scaling carries with it the responsibility that all of the attributes of the smallest…

    View original post 479 more words

  • คุณเป็นกบแบบไหน

    วันนี้เป็นอีกอาทิตย์ที่ได้ไปโบสถ์ ส่วนหนึ่งของการไปโบสถ์คือการได้คิดถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น ทุกๆคนที่ได้พบเจอ โอกาสเรียนรู้จากคน เป็นของล้ำค่า

    เรื่องมีอยู่ว่า วันก่อนได้มีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มผู้นำองค์กรแห่งหนึ่งและได้คุยกันถึงแนวทางในการช่วยให้พี่ๆน้องๆในองค์กรแห่งนี้ก้าวไปสู่เวทีโลก ความคิดต่างๆพร่างพรูและได้แผนงานสำหรับทดลองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยเอาความสุขของคนในองค์กรเป็นที่ตั้ง

    เชื่อว่าในตลอดชีวิตของการทำงานหลายๆคนคงเคยได้ยิน ได้อ่านเรื่องราว เปรียบเปรยการทำงานโดยใช้กบเป็นตัวละครเพื่อให้เห็นภาพ เช่น อย่าเป็นกบอยู่ในกะลา คือ การทำงานที่อยู่ความคุ้นชินเดิมๆโดยที่ไม่ได้มองว่าโลกข้างนอกนั่นเค้าก้าวไปถึงไหนแล้ว ออกจากกะลาแล้วมาเปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเองและคนรอบข้าง

    หนึ่งในบทสนทนากับนักคิดที่มีวิสัยทัศน์แบบหาคนจับยาก ซึ่งในแต่ละครั้งที่ท่านนึ้พูดมักใช้คำง่ายๆที่ใครๆก็เข้าถึงได้ ด้วยความที่ส่วนตัวคลุกคลีกับการปฏิรูปมากจนหลายครั้งหลงใช้ภาษาที่อาจจะยากสำหรับคนทั่วไป เลยไปปรึกษาท่านและเล่าไอเดียของแผนงาน และอยากหาคำง่ายๆที่ใครๆก็เข้าใจ

    ในวงสนทนานั้นเริ่มต้นอย่างสนุกสนาน ปราศจากความเครียดโดยสิ้นเชิง คำต่างๆเริ่มไหลๆมา ซึ่งล้วนแต่ดีๆทั้งนั้น ท่านผู้นี้บังเอิญเดินมา ได้การบ้านไป หาย 15 นาที กลับมาพร้อมกับคำว่า

    “กบฉีกกะลา”

    ใครชอบหรือเปล่าไม่รู้แต่ผมชอบมากเพราะว่าเห็นภาพชัดมาก เราคุยกันซักพัก และได้ลงความเห็นว่าอันนี้แหล่ะ ใช้เป็นชื่อเรียกปฏิบัติการนี้ เหตุที่มันดีเพราะว่า

    1. กบที่จะฉีกกะลาได้นั้นต้องออกจากกะลาก่อน
    2. กบทั่วไปอาจพาตัวเองออกจากกะลาแล้วกลับเข้าไปได้ใหม่ เพราะว่ากะลายังอยู่ ทว่าการฉีกนั้นเป็นการทำลายกะลาไปอย่างถาวรกลับไปไม่ได้อีก
    3. การพาตัวเองออกจากกะลาเป็นเรื่องยาก แต่ว่าสิ่งที่ยากกว่าคือการช่วยพี่ๆน้องๆออกจากกะลาด้วย เพราะว่าเราทำงานด้วยกัน เราไปกันเป็นทีม ใช่ว่าทุกคนจะออกจากกะลาได้พร้อมๆกัน ดังนั้นจึงต้องช่วยเพื่อนด้วยการฉีกกะลาเพื่อนๆให้เห็นสิ่งที่เราเห็นด้วย
    4. กบฉีกกะลานั้นแสดงถึงความกล้าหาญ เพราะว่าในองค์กรใหญ่ การพูดความจริงด้วยความรักเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราอยากพาองค์กรของตัวเองไปสู่เวทีโลก เราต้องกล้าที่จะออกนอกกรอบ และพาเพื่อนๆเราออกมาด้วย
    5. การฉีกนั้นเจ็บปวดแต่ว่า ถ้าไม่เจ็บคงไม่จำ เหมือนกับภาษาฝรั่งว่า “no pain, no gain”

    เลยอยากชวนให้ทุกคนเป็นกบแบบใหม่ที่ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงตัวเองเท่านั้นแต่ เป็นกบที่พร้อมจะฉีกกะลาเพื่อพลิกตัวเอง ครอบครัว สังคม ประเทศ และโลกนี้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นตลอดเวลา

    20140406-222713.jpg

  • ฝาแฝดที่หลายคนมองข้าม (Innovation & Change are twins)

    innovation_change

    ประสบการณ์มากกว่า 15 ที่เป็นทั้งส่วนหนึ่งที่ได้รับผบกระทบของการเปลี่ยนแปลง ในองค์กร และในฐานะที่เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงในที่ต่างๆทำให้ตกผลึก ความคิดหลายๆอย่าง ซึ่งได้มีโอกาสถกกับพี่น้อง ทั้งที่เป็นคนทำงาน และคนที่เป็นซีอีโอ ประธานกรรมการ ในธุรกิจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเงิน โทรคมนาคม การเกษตร ธุรกิจขายปลีก และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในเวทีไทย และเวทีระดับโลก

    สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากๆจากการได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีประสบการณ์จริง คือ การที่ยิ่งทำมาก กลับทำให้รู้น้อยลง และฟังเยอะขึ้น (ฟังจริงๆ) และทำให้โอกาสในการปฏิรูปองค์กรนั้นเป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วย

    การปฏิรูปในองค์กรต้องมีการสนับสนุนในระดับผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์ตรงในหลายๆโอกาสทำให้ได้รู้ว่าการปฏิรูปมักถูกพูดถึงมากในห้องประชุมของผู้บริหารระดับสูงเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น และบ่อยครั้งทุกอย่างก็กลับไปทำเหมือนเดิมในไม่กี่เดือน

    ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่แค่ เปลี่ยนอย่างไร แต่หากหมายรวมถึง จะรักษาสภาวะใหม่ หรือที่เราเรียกว่าวัฒนธรรมใหม่ได้อย่างไรด้วย

    และถ้าเรามองเรื่องวัฒนธรรม คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะหยิบคำยอดฮิตที่ บรรดานักปฏิรูป เอ่ยถึงเสมอ ทั้งที่เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง (ซึ่งส่วนตัวเคยเข้าใจแบบผิวเผินเช่นกัน)

    Innovation ใน wikipedia ได้ให้ความหมายไว้ว่า

    นวัตกรรม หมายถึงการทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีใหม่ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กร ไม่ว่าการเปลี่ยนนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติการเปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคน หรือการพัฒนาต่อยอด ทั้งนี้ มักมีการแยกแยะความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างการประดิษฐ์คิดค้น ความคิดริเริ่ม และนวัตกรรม อันหมายถึงความคิดริเริ่มที่นำมาประยุกต์ใช้อย่างสัมฤทธิ์ผล (Mckeown, 2008) และในหลายสาขา เชื่อกันว่าการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นนวัตกรรมได้นั้น จะต้องมีความแปลกใหม่อย่างเห็นได้ชัด และไม่เป็นแค่เพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป็นต้นว่า ในด้านศิลปะ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐ ในเชิงเศรษฐศาสตร์นั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเพิ่มมูลค่า มูลค่าของลูกค้า หรือมูลค่าของผู้ผลิต เป้าหมายของนวัตกรรมคือการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อทำให้สิ่งต่างๆเกิดเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นวัตกรรมก่อให้ได้ผลิตผลเพิ่มขึ้น และเป็นที่มาสำคัญของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

    โดยส่วนตัวมองเรื่อง นวัตกรรม เป็นกลยุทธที่ผู้บริหารต้องเข้าใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติได้อย่างเกิดผลสูงสุด โดยสรุปมีทั้งหมด 3 รูปแบบ

    1. นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) หนึ่งในนวัตกรรมที่หลายๆองค์มักมองข้ามคือการพัฒนาวิธีการทำงานที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวณการในการตัดสินใจ หรือ วิธีการทำให้การออกสินค้านั้นง่ายขึ้น
    2. นวัตกรรมแบบ วิวัฒนาการ (Evolutionary) นวัตกรรมแบบนี้มักพูดถึงการมองหารูปแบบสินค้าแบบใหม่ ที่ดีกว่าเดิม เช่น การที่ Apple ออก iPhone ครั้งแรกที่ผนวกการฟังเพลงเข้าการสื่อสาร ในปี 2004 ไม่ใช่ของใหม่โดยสิ้นเชิงแต่หากเป็นพัฒนาการที่ก้าวล้ำ Apple ได้ลองและเกิดผลอย่างสูง ส่วนใหญ่นวัตกรรมแบบนี้มักเป็นผลลัพธ์ชัดเจนในผลประกอบการขององค์กร
    3. นวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง (Revolutionary) นวัตกรรมแบบนี้เป็นแบบก้าวกระโดด คือแทบไม่มีเค้าโครงของเดิมเหลืออยู่เลย เช่น บางบริษัทอาจเคยเป็นบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ แต่ผันตัวเองไม่อยู่ในธุรกิจยานยนต์ หรือแม้แต่การเปลี่ยน ค่านิยม ที่ไม่เคยทำมาก่อน การเปลี่ยนแปลงในระดับนี้นั้นส่วนใหญ่นั้นสร้างความตระหนกตกใจให้กับคนในองค์กรเป็นอย่างมาก แต่ว่าถ้าทำได้องค์กรจะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

    ดังนั้นหากองค์กรได้ต้องการที่จะนวัตกรรมใหม่ การปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะว่าไม่มีองค์กรที่ประสบความสำเร็จใดๆที่ไม่มีนวัตกรรม และไม่มีนวัตกรรมใดๆที่ไม่มีการปฏิรูปหรือการเปลี่ยนแปลง

     

     

  • เราต้องการให้โลกนี้ยุติธรรมจริงหรือ

    พักนี้มักได้ยินคนพูดถึงความยุติธรรม บ่นเรื่องความไม่เท่าเทียมกัน ทำไมคนนั้นได้อย่างนั้น ทำไมคนนั้นได้อย่างนี้ ทำไมๆๆ

    โดยส่วนตัวแล้วสิ่งหนึ่งที่จริงแท้และเที่ยงธรรมที่สุดในการเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตคือ เราทุกคนต้องตาย นอกนั้น อย่าได้ถามหาความยุติธรรม

    สิ่งมีชีวิตหลายอย่างในโลกนี้เกิดมาพักเดียวก็ตายแล้ว ถ้าเราจะมองหาความยุติธรรม ในโลกนี้ มันก็คงไม่ยุติธรรม

    การที่คนหลายคนทำความดี เพื่อสังคม เค้าไม่ได้ทำเพื่อความยุติธรรม แต่เชื่อเถอะว่าเค้าทำเพื่ออะไรบางอย่าง

    บางอย่างนั้น อาจจะเป็นความสบายใจ ความสุขทางใจ และผมเชื่อเสมอว่า คนเรานั้นทำอะไร เพื่ออะไรบางอย่างอยู่แล้ว แล้วแต่ว่ามันคืดอะไร

    บางคนอาจจะอยากได้บางอย่างที่กฏของสังคม ไม่ยอมรับ ก็โดนสังคมประนาม หรือ ติดคุกติดตารางกันไป บางอย่างที่ไม่รุนแรงมาก อย่างมากก็โดยด่าว่า

    คนที่รวยกว่า ประสบความสำเร็จกว่า ก็เป็นเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งที่ทำบางอย่างให้คนกลุ่มหนึ่งมีมความสุขที่จะใช้สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ มากกว่าก็เท่านั้นเอง

  • คุณรู้จักเบื้องลึกตัวคุณดีแค่ไหน

    ภาพฝาผนังที่วิจิตรการ รถยนต์ดีไซล์ล้ำโฉบเฉี่ยว นวัตรกรรมต่างๆที่เรามีโอกาสได้สัมผัส หรือแม้แต่ คนโด่งดังมากมายในโลก ภาพวันที่เราเห็นนั้นดูสวนงาม น่ายกย่อง และ หลายคนก็อยากได้อยากมี อยากเป็น แต่จะมีซักกี่คนได้ลองมองไปลึกๆว่าคนเหล่านั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง

    การไขว่คว้าหาตัวอย่างเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะว่า การกระทำที่เป็นตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าล้านคำสอน หากแต่มุมมองความคิดที่แตกต่างนั้น แท้จริงแล้ว เราสามารถหาได้จากตัวเราเช่นกัน

    โดยส่วนตัวเชื่อว่า คนเรานั้นไม่มากก็น้อยมีอยู่สองมุม มุมที่เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยแสดงออก หรือ หลายคนบอกว่าเป็นเบื้องหลังของการกระทำของเรา สิ่งเหล่านี้ได้แก่ มุมมอง ความคิด ความมุ่งมั่น การวางแผน การตัดสินใจ หรือแม้แต่ จุดอ่อน จุดแข็ง ค่านิยม หรือคำจำกัดความของคำว่าประสบความสำเร็จของเรา และคงไม่แปลกเลยที่เบื้องลึกเหล่านี้ของเราจะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา วุฒิภาวะ ประสบการณ์ที่ได้รับมา

    อีกมุมมองที่เรามีนอกจาก มุมมองเบื้องหลัง คือ เบื้องหน้าของเรา เบื้องหน้าของเรานั้น ได้แก่ คำพูด การแสดงออก และความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนรอบตัวเรา

    เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเรานั้นมีความสัมพันธ์กันแบบชนิดที่แยกกันแทบไม่ออก จนหลายคนหลงคิดว่าเค้าไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมาก หากแต่ถ้าเราพยายามมองลงไปให้ลึกมากขึ้น เราจะพบว่า การที่จะมีชีวิตที่มีประสบความสำเร็จ เราจำเป็นต้องใช้เวลาพัฒนาเบื้องหน้า และเบื้องหลังให้พอๆกัน

    คนหลายที่ได้สัมผัสมา มีความปราถนาที่จะพัฒนารูปร่างภายนอก บุคลิก หรือถ้าเป็นคนที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ หัวหน้างาน ผู้นำชุมชน มักมองเห็นแต่ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย หรือแม้แต่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แต่หากแท้จริงแล้ว เราต้องใช้เวลาคิดใคร่ครวญตรึกตรองถึงความคิดเบื้องลึกของเราด้วย เช่น เราต้องการที่จะเป็นใคร ผู้นำในความคิดของเราเป็นอย่างไร และลึกๆของเราต้องการบรรลุวัตถุประสงค์อะไรในชีวิต ทำไมเราถึงอยากได้ และ เราคิดว่าเราจะได้มันมาได้อย่างไร คำถามสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้เราใช้เวลาไม่กี่นาทีกับตัวเองได้ เพื่อเราะจะได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของเรา

    Mobius-Strip

     

  • คุณฟัง หรือ แค่ได้ยิน

    หนึ่งในสิ่งที่ง่ายที่สุด และยากที่สุดของคนคือการฟัง

    การฟัง คือ การได้ยิน และเอาไปคิด

    หลายคนสับสนว่าการช่วยเหลือผู้คนที่ดีที่สุดคือการเข้าไปช่วยเหลือเลย แต่หากความเป็นจริงคือ การโดดเข้าไปช่วยอาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้เรายัดเยียดสิ่งที่คนอื่นไม่ต้องการก็เป็นได้

    ฉะนั้นความช่วยเหลือที่ดีทีสุดที่เราทำได้ ต่อผู้คนที่อยู่รอบตัวเรา บางครั้งอาจเป็นแค่ไปนั่งฟังเค้า และพยายามช่วยเค้าในสิ่งที่เค้าอยากทำ และ เงื่อนไขส่วนใหญ่ที่คนจะเริ่มไว้ใจให้เข้าไปช่วยเหลือคือ

    1. ต้องเก็บความลับได้
    2. เป็นเรื่องส่วนตัว
    3. ให้ความช่วยเหลือได้อย่างมหัศจรรย์

    ต้องยอมรับว่าส่วนตัวเคยพยายามช่วยเหลือคนอื่นด้วยความรู้สึกว่า เรารู้ดีกว่า ผ่านอะไรมามากกว่า แต่แท้จริงแล้ว การช่วยเหลือผู้คนที่ดีที่สุดคือค้นให้เจอว่าคนอื่นอยากได้อะไร และทำสิ่งที่ทำให้ความปราถนาลึกๆนั้นสำเร็จ

    วันนี้คุณได้หยุดพูด และ ได้ฟังคนอื่นจริงๆ หรือเปล่า?

     

     

  • I have QA team (others but not me)

    One of the interesting observation when working with many team in my coaching career is how people would react to my questions about quality, product testing, A/B Testing, regression test, etc.

    We have done the unit testing, and we are waiting for QA team to do it.

    QA did it better. We just can’t do it like them.

    Our server won’t be able to do it, sorry.

    It will be very bias if we do the testing so it’s better QA/ Somebody else do it.

    What! you expect the actual business flow to be tested in development environment, that’s just too expensive!

    We don’t have enough time if we do more testing. Can we have more QA to do it?

    Our developers are the expert in this field and they hardly made any mistake (from the records)

    There are plenty more creative reason why quality can’t be done at the first line of code or test first along the first line of development.

    I’m one of those people who stuck at the activities I have to do daily and ignore the value that I have to give as part of my daily activities. I just hope that people don’t repeat the same thing. How? I guess if we put our creativity on how to perform such tasks so we don’t have to spend time to defense why we need others to do quality work.

    What’s your take?

  • Have you found your sense of comfort?

    Kent Beck, a founder of an extreme programming, as well as one of the founder of Agile Manifesto. He’s currently working at Facebook as a coach for programmer.

    One of the session I attended during Agile Singapore 2013 is “East at Work” , where he honestly shared that this talk was actually inspired by his wife, “Can you talk something relating to life?”, his wife said. I won’t go into full length of 1.5 hours of his talk because I know that InfoQ, media sponsor, will post his video soon.

    Lots of his point was relating to coding (of course, he’s programmer). However, reading between the line, he’s trying to communicate many points relating that we as a human should find our comfort of whatever we are doing.

    Kent Believe that no one shouldn’t spend too much time to judge if he/ she is the best or the worst. Comparing the effort to move pendulam center no matter where you stand. The amplitude is too high and we shouldn’t waste it.

    It’s unarguable that we all at one time in life thought we are the best and probably no one will ever invent what we can do or think. In contrast, we also used to be in the situation where we think we are the worst creature that ever live in the world because we do something very stupid that nobody can be that stupid.

    This two sides of pendulam is where we used to stand and we should try to reduce the amplitude of the two side as low as possible. Otherwise, the energy will be wasted as a result of putting us back to the comfortable spot.

    For Kent’s spot, they are:

    • My work matters
    • My code works
    • I’m proud of my work
    • I make public commitment
    • I am accountable
    • Interpret feedback
    • I am a beginner
    • I meditate
    • I serve

    It was a well delivered session by Kent Beck. They are still left for my interpretation and I will share when I have thought about it deeply. At the end of the day, each and everyone pendulum will have a different spot.

    No matter what industry you are in, I hope you will start finding your sense of comfort. It’s not only to help you live your life to the fullest but also the world will reap the benefit of getting the outcomes with the least waste.

    2013-11-07 16.51.41

  • Cultural differences between Asian and Westerner about help วัฒนธรรมที่ต่างระหว่างเอเชียกับตะวันตกในเรื่องความช่วยเหลือ

    One of the Agile Singapore Keynote that was well delivered by Jim McCarthy is around hacking the culture, where he talked about how to bring team to the next level of change, “Culture”. He introduces the nice open source protocol at liveingreatness.

    I have learned a lot from his session but as I am one of the people who has been trying to change the culture of my environment for many years. I found one an interesting but controversial topic about culture about help is a little different and needs to be tuned based on the local culture.

    Jim was mentioning about “we shouldn’t offer help to other people because it will lower the effectiveness”. In my opinion, it’s probably true for westerner but when it comes to Asian culture, offering help often show the good result. This is because in Asian culture, we are very reluctant to ask for help because we don’t know how others would think about us. In order to work effectively in Asia, people will need to read between the line and offering help is the best way to find out the message under hidden agenda.

    ในหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจในงาน อไจล์สิงคโปร์ ที่ถ่ายทอดโดย จิม แม็คคาที่ คือการ เจาะเพื่อเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวสั้นๆคือการเปลี่ยนแปลงในระดับลึกที่สุด หรือ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม จิมได้ให้รายละเอียดไว้อย่างน่าสนใจใน  liveingreatness.

    ถึงแม้ว่าจะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้เรียนรู้อะไรอย่างมาก แต่ ในฐานะคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำการปฏิรูปองค์กรในระดับวัฒนธรรมอยู่หลายปี มีข้อหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นที่โต้แย้งในชั้นเรียน และอยากแบ่งปัน คือ จิมสอนว่า เราไม่ควรที่ยื่นข้อเสนอที่จะช่วยเหลือ เพราะนั่นจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาได้ไม่ดีที่สุด

    ในความคิดเห็นส่วนตัว เราคนที่เป็นเอเชีย กลับพบว่าด้วยโครงสร้างวัฒนธรรมของเราเป็นคนที่เกรงใจ และไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไงถ้าเราไปขอความช่วยเหลือเค้า (ในภาษาอังกฤษ ไม่มีคำว่าเกรงใจ จริงๆ) ฉะนั้นถ้าอยากทำงานให้เกิดผลดีในย่านเอเชีย คนที่ทำงานต้องมีศิลปะในการอ่านใจคนว่า เพราะอะไรคนพูดถึงคิดแบบนั้น และ หลายครั้งการกระทำดังกล่าวก็ทำให้หลายต่อหลายงานในชีวิตของผมเองเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย

  • การปฏิรูปไม่ใช่ศูนย์ กับ หนึ่ง

    ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว และ คงไม่มีใครที่จะบอกได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่เปลี่ยนแปลง แต่หากการปฎิรูปต่างๆ สิ่งที่เรามักเห็นคือ ต้องการให้ปรับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยส่วนตัว โดยธรรมชาติ และกลไกของคน มีสภาวะทีป้องกันตัวเองจากการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว แน่นอนที่หลายคนอาจมีความสามารถในการข่มใจให้ไปไม่ทำในสิ่งที่ยังไม่ได้ชอบนัก แต่คนส่วนใหญ่ยังรักที่จะเป็นอย่างที่ทำอยู่ เพราะฉะนั้น หากเราต้องการปฏิรูปอะไรซักอย่าง เราคงใช้หลักการที่ว่าถ้าไม่ทำถือว่าไม่ได้คงไม่ใช่

    แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่สำคัญต่างหากที่จำเป็น และความสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ต้องทำ ทำทีละเล็กทีละน้อย มาถึงวันหนึ่ง โดยที่เราไม่รู้ตัว อาจจะพบว่าเรากลายเป็นอีกคนที่มีความสามารถทำอะไรที่เราไม่เคยทำก็เป็นได้

    เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอน หลายคนคงเคยได้ยินว่าใครที่ไม่ซ้อมถ้าวิ่งอาจตายได้ เช่นกันครับการปฏิรูปไม่ว่าอะไรก็ตาม อาจไม่ทำให้เราตาย แต่อาจจะทำให้เราตายทั้งเป็นเพราะว่าเราอาจจะปฎิรูปอีกไม่ได้เลย เพราะว่าสมองเราถูกฝังว่าเกลียดการปฎิรูปไปเลยก็เป็นได้

    butterfly_transformation