Tag: #บล็อกกันวันละหน

  • เทคนิคการปลุกพลังของในทีมงาน

    เราหลายคนคงเคยตกอยู่ในสภาวะที่ต้องทำงานที่ซ้ำซาก และบ่อยครั้งพลังในแต่ละวันเริ่มลดถอยลงไป หลากหลายสาเหตุที่มีโอกาสสัมผัส แก้ได้บ้าง แก้ไม่ได้บ้าง บ้างก็เกิดจากทิศทางของงานไม่ชัดเจน หรืองานที่ทำไม่ตื่นเต้นแล้ว

    หลักการที่ใช้อยู่เสมอ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้นำทั้งไทยและเทศ มาแบ่งปันกัน เผื่อว่าจะช่วยได้

    การหารากเหง้าด้วยการคุยบ่อยๆ

    ความท้าทายที่ยากสุดคือการหาต้นเหตุของความเบื่อหน่ายให้เจอ และวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการคุยกับตัวเองหรือคนในทีม บ่อยครั้งเรามักที่จะลืมคุยกับคนในทีมบ่อยเพื่อเข้าใจความต้องการลึกๆของแต่ละคน การนัดคุยอย่างเป็นประจำเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกว่าเราใส่ใจ และบ่อยครั้งก็เป็นการปลุกพลังที่ดี

    การเล่าภาพใหญ่

    วิสัยทัศน์เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ทีมมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการบอกทิศทางของทีม หรือองค์กร หลายต่อหลายครั้งเป็นการยากเหมือนกันสำหรับคนที่ลงมือทำงานจะวาดภาพใหญ่ได้ ภาพใหญ่จะทำให้ทีมงานรู้ว่าเค้ากำลังเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรม หรือไอเดียใหม่ๆที่กำลังจะเปลี่ยนโลก และความตื่นเต้นก็มักจะเป็นผลพลอยได้จากการส่งต่อภาพใหญ่ด้วย

    การมีส่วนร่วม

    ยาแก้พิษความเบื่อหน่ายคือการลากเอาทีมงานมามีส่วนร่วมในการวางแผน อาจจะเป็นกิจกรรมเจาะจงเพื่อเป้าประสงค์ที่ใหญ่กว่าทีมงานหรือสิ่งที่ทำอยู่ทุกวัน จากประสบการณ์ วิธีการดังกล่าวจะสร้างความเป็นเจ้าของในงาน และสร้างความเชื่อว่างานที่เค้าทำนั้นมีความสำคัญต่อโครงการหรือองค์กร

    ปรับเปลี่ยนงานให้เหมาะสมกับแต่ละคน

    วิธีการที่ดีคือการปรับบทบาทหน้าที่ของคนในทีมให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำบ้าง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และทำงานให้ดีซึ่งจะกระตุ้นพลัง จากการที่สามาระทำงานได้ตามเป้าหมายส่วนตัววางไว้

    ทำกิจกรรมสนุกๆกับทีมงาน

    การเล่นเกมส์ เล่นกีฬา ออกต่างจังหวัด บ่อยครั้งผมเองพอเห็นทีมเริ่มเบื่อ การนัดออกไปสังสรรค์เป็นสิ่งที่จะทำประจำ หรือแม้แต่นัดออกไปเตะบอล เล่นบาส หรือกีฬาอื่นที่ทุกคนในทีมสามารถมีส่วนร่วมได้ และหลายครั้งก็ทำให้ทีมกลับมามีขีวิตชีวาได้อีกครั้ง

     

  • สุขภาพทำนายได้ด้วยการวิเคราะห์ทางพันธุกรรม

    หนึ่งในความรู้ที่ได้มาในการสมนาสุขภาพ และหนังสือต่างๆที่ผมได้มีโอกาสได้สัมผัสให้ทำตระหนักว่าโลกของเราแบ่งแพทย์ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มแพทย์ที่เรียนมาเเพื่อรักษาโรค และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจ่ายยา และการรักษาต่อโรคเจาะจง ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มแพทย์ที่เรียนมาเพื่อป้องกันโรค หรือแพทย์แผนทางเลือก กลุ่มแพทย์กลุ่มแรกเราคงรู้จักกันดี และคงไม่ต้องอธิบายมาก

    ประเด็นที่อยากจะแบ่งปันคือ กลุ่มแพทย์กลุ่มที่สองที่เชื่อว่าการป้องกันนั้นสำคัญการ รักษาโรคเมื่อเกิดขึ้น แพทย์กลุ่มนี้เชื่อว่าเราสามารถที่จะทำนายโรคจากการวิเคราะห์โครงสร้างทางพันธุกรรม โครโมโซม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยในทวีปอเมริกา หรือยุโรป และค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อยๆ ประเทศไทยก็เริ่มมีเข้ามาบ้างแต่ราคานั้นยังค่อนข้างแพง

    http://ilgenetics.com อินเตอลูเก้น บริษัททางด้านการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งได้ริเริ่มโครงการตรวจพันธุกรรมเพื่อประโยชน์ในการดูแลสุขภาพของลูกค้าและครอบครัว

    โดยส่วนตัวเชื่อว่าการป้องกันนั้นสำคัญกว่าการรักษา ไม่มีใครอยากป่วย เพราะเราแทบไม่มีทางรู้เลยว่า โรคที่กำลังเกิดมานั้นเป็นโรคที่แพทย์นั้นรักษาได้หรือเปล่า หากแต่ถ้าเรารู้ว่าโครงสร้างทางพันธุกรรมของเรามีความเสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง เราควรหรือไม่ควรทานอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงโรค

    ผมว่าคำแนะนำที่มักได้ยินจากแพทย์ที่ว่า ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ กำลังจะหมดไปในอนาคตอันใกล้ และถูกแทนที่ด้วยวิทยาการทางการแพทย์แผนป้องกัน

    dnastructure

  • คำถามที่สำคัญ ทำไม Why…

    เราหลายๆคนอาจเคยอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออกว่า เพราะอะไรงานที่เราทำออกมาถึงขายไม่ได้ หรือไม่มีคนสนใจ ทั้งๆที่เราทำสิ่งที่ดี ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ดีไซน์ชั้นยอด

    จากการพูดคุยและประสบการณ์ตรงทำให้ได้เจอสาเหตุซึ่งเป็นเหมือนเส้นผมบังตา

    ทำไม คำถามง่ายๆที่เราลืม เพราะเรามัวแต่ไปคิดว่าเราจะทำอะไร โดยลืมไปทำไมเราถึงทำสิ่งนั้น และทำไปเพื่ออะไร สินค้าต่างๆที่ทำออกมาต้องตอบโจทย์ของลูกค้า และบ่อยครั้งเหลือเกินในการผลิตซอฟต์แวร์ ที่ไม่มีคนสนใจหรือ ว่าไม่อยากใช้ก็เกิดจาก การทีทีมไม่ได้คิดว่าทำไมเราถึงทำสิ่งที่เราทำ ฟังดูงงๆ เพราะว่าการตั้งคำถามผิด ต่อให้เจอคำตอบที่ถูกก็ผิดอยู่ดี

    งงมั้ยครับ ถ้างงให้ถามตัวเองว่า ทำไม

  • How to have sense of humor?

    We all know that we want to be with the people who is fun to be with. The sense of humor is sometimes the talent that somebody posses as part of their nature. If you are such a person, I probably don’t need to congratulate you because you have already known that it’s taking you somewhere that many others pry their eyes with a little jealousy.

    For those who might not naturally come with such talent, a few trick that may make you the person most people wanna be with,

    1. Joke around, this is a no brainer trick that many people think it’s too legacy and somehow forget about it. Find your joke and use it to entertain other people is a good starting point that anybody can do. If you don’t have one, google with simple keyword like “Joke”, you may surprise it is making your day a better day and you may well make other laugh with your joke as well.
    2. Goofy about yourself, pick a childish spot, sometime entertaining means going silly and childish. This means put away the sobers of your life for a few minutes and free yourself to the world of nonsense. Stop being rationale for a second and people around might feel a little secure to be near you because they feel that you are also human like them.
    3. Say “Yes” to something you normally wouldn’t do, Ah right, somebody call this craziness. This doesn’t mean you start hitting other people butt or burning your neighborhood house. There’s often fun to be had in pushing things slightly, but some people are hesitant to go there. The fun person helps everyone get into that territory. It takes skill and experience to know just how far to take things though. If you go too far, you can come off as insensitive, or make people uncomfortable.
    4. Helping others having fun, fun people also have a knack for bringing the people they’re with into fun scenarios. Some of them just simply know good places to go and fun things to do. Others have this hard-to-pin-down ability to just get everyone they’re involved with into crazy situations. Rather than make a normal response to a situation, they’ll be a bit more spontaneous and unpredictable and get all their friends involved in something memorable.

    Fun people are good at convincing us to let loose a little more. Sometimes it’s because their own enthusiasm is infectious. At other times they have a skill for applying some light, harmless peer pressure (to get you to do something you’ll like anyways). The classic example is the person dragging their more reluctant friends onto the dance floor, where they start to have a good time once they get going.

    It’s human and it is important to make people around you feel comfortable about themselves, enjoy life, and it does make whatever you are doing a bit more fun and hopefully more productive.

    glad-share-sense-humor-friendship-ecard-someecards

  • คนที่เปลี่ยนยากนั้นมีประโยชน์

    การเริ่มก่อนไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จ หลายต่อหลายครั้งที่เรามักเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในองค์กรจะมีคนหลากหลายกลุ่มที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อทิศทางองค์กรที่ต่างกัน

    คนกลุ่มแรกที่เรามักเห็นได้บ่อยและชัดคือกลุ่มที่ตื่นเต้นและคอยที่จะทำตามทุกอย่างโดยง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งหลายต่อหลายครั้งคนกลุ่มนี้ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะว่าตื่นเต้นเพราะว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นของใหม่ และพอเห็นหมดก็เบื่อและอยากได้สิ่งใหม่เรื่อย ในทุกๆการเปลี่ยนแปลงจะมีคนกลุ่มนี้เสมอ แต่น่าเสียดายคือไม่ชอบที่จะดึงคนอื่นมาด้วยเพราะว่าไม่ได้เข้าใจข้อดี ข้อเสียอย่างแท้จริง

    คนกลุ่มที่สองคือคนที่เหมือนคนกลุ่มแรกแต่เป็นคนที่ตั้งตัวเป็นสาวกและพร้อมที่จะป่าวประกาศและคอนดึงเพื่อนร่วมงานมาด้วยคนกลุ่มนี้คือพวกที่อาจไม่ได้ตื่นเต้นมากแต่ใช้เวลาศึกษาลองผิดลองถูกจนเข้าใจระดับนึงและอยากหาคนทำด้วย

    คนกลุ่มที่สามคือคนที่ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนแต่พอคนปริมาณมากขึ้นเริ่มทำคนกลุ่มนี้ก็จะทำตามและใช้กระบวณการที่เกิดจากการเปลียนแปลงในการเปลียนแปลงตัวเอง นี่คือคนกลุ่มใหญ่ขององค์กร

    คนกลุ่มประเภทสุดท้ายคือกลุ่มคนที่ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ไป และพยายามหาเหตุผลมาหักล้างทุกอย่าง และถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูมีเหตุผลไปหมด ก็ยังเชื่อในความรู้สึกของตนเอง คนกลุ่มนี้บางคนสุดท้ายก็ออกจากองค์กรไปเพื่อไปหาสถานที่ที่ตอบโจทย์ของตัวเอง แต่หากคนกลุ่มนี้อยู่ต่อเค้าก็จะเป็นเสมือนคนที่คอยให้ความมั่นใจกับคนที่เปลี่ยนแปลงแล้วให้รู้ว่าเค้าทำในสิ่งที่ถูกแล้ว คนกลุ่มนี้มักใช้เวลานานมากและเมื่อถึงเวลาที่เค้าเปลี่ยน เค้าจะยึดกับสิ่งที่เค้าเปลี่ยนแบบมั่นคง

    คนกลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่คนมักเข้าใจว่าเค้าเป็นคนขวางโลก ขวางความเจริญขององค์กร แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนกลุ่มนี้แหล่ะเป็นกลุ่มคนที่สำคัญมากที่องค์กรต้องมีเพราะว่าคนเหล่านี้จะมีจุดยืนบางอย่างที่หาคนเข้าใจยากเป็นคนกลุ่มน้อยที่เราต้องรักษาไว้ในองค์เพื่อให้เค้าช่วยเตือนเราว่าไม่ใช่ว่าทุกๆแนวทางใหม่ๆจะเป็นแนวทางที่ดีเสมอไป และถ้าคนกลุ่มนี้หาจับจุดผิดได้ อาจทำให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เราไม่เข้าใจมากขึ้น

    ไม่ว่าเราจะอยู่ในกลุ่มไหนขอให้เราระลึกเสมอว่าเราทุกคนเป็นเหมือนจิกซอว์ทีสำคัญที่จะทำให้ทุกๆการเปลี่ยนแปลงนั้นมีความหมายและเหมาะกับองค์กรเรามากที่สุด

  • หนึ่งใน จุดยืน อไจล์66

    หลักที่เรายืดคือสิ่งที่สำคัญ มันไม่สำคัญว่าหลักนั่นจะเป็น ศาสนา ความเชื่ออุดมการณ์ ไม่สำคัญเท่ากับการที่ทุกๆวันที่เราตื่นขึ้นมาเรารู้ว่าเราอยู่เพื่ออะไร

    จุดยืนจุดหนึ่งที่เมื่ออาทิตย์ก่อนมีโอกาสได้คุยกับหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มคนไอที ที่เชื่อในการทำงานแบบอไจล์ คือ

    กลุ่มเราเริ่มต้นด้วยความคิดที่อยากปล่อยของ อยากแบ่งปัน เพราะว่าเราแต่ละคนได้ผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวด และไม่คาดหวังให้คนในวงการเดียวกันต้องมาทำซ้ำ เพราะการทำผิดซ้ำซากเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรและไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้

    แต่ถ้าจะพูดให้หล่ออีกนิด เราจะบอกว่าเราตั้งใจจะสร้างสภาวะแวดล้อมที่ทำให้คนในวงการไอที ไม่ได้เป็นเพียงแค่กรรมกรในห้องแอร์ ที่ทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาแบบไม่ลืมหูลืมตา และสุดท้ายทำให้แต่ละวันที่ทำงานนั้นเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ขาดพลังงานขับเคลื่อน และในที่สุดก็ออกจากองค์กรเพื่อไปหาที่ใหม่ที่ก็จะเจอปัญหาเดิมๆอยู่ร่ำไป ความตั้งใจส่วนตัวที่มาทำงานร่วมกับกลุ่มนี้คือ อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างองค์กรต่างๆให้มีวิธีการทำงานที่ทำให้ได้ทั้งผลงานที่น่าตื่นเต้น และความภาคภูมิใจของคนในองค์กรว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัฒท์ หรือบริการ และสนุกไปกับงานได้ทุกวัน เป็นสภาวะแวดล้อมของการแบ่งปันที่ไม่รู้จักสิ้นสุด และทำเงินได้และมีผลในการสร้างโลกให้ดีขึ้นในระยะยาว

  • สถาปัตยกรรมหอคอยงาช้าง (Ivory Tower Architecture)

    ivorytowerหากย้อนกลับไปซักสิบปีที่แล้วประเทศไทยคงยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับบทบาทของ สถาปนิกคอมพิวเตอร์ ซักเท่าไหร่ เพราะว่าคนไทยในประเทศยังไม่ค่อยมีใครเป็นสถาปนิกอย่างแท้จริง แต่ในสิบปีให้หลังเราคงเริ่มได้เห็นบทบาทของสถาปนิกในแวดวงไอทีมากขึ้น

    จากบทบาทดังกล่าวทำให้เราได้เห็น สถาปัตยกรรมในองค์กรสองแบบที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจน

    ประเภทแรกเป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นไปในรูปแบบนามอธรรม และสามารถใช้กับ แพลตฟอร์มอะไรก็ได้ และไม่ค่อยลงรายละเอียดเกี่ยวกับความซับซ้อน หรือ รายละเอียดของฮาร์ดแวร์ เน็ตเวิร์ค อิเล็คตรอน โปรตรอน จุดเด่นที่สุดขั้วของสถาปัตยกรรมนี้ทำให้เรารู้จักกันดีในนามว่า “สถาปัตยกรรมหอคอยงาช้าง (Ivory Tower Architecture)”  รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบดังกล่าวมักมาเป็นรูปแบบที่นักพัฒนาเอาไปสานต่อได้ค่อนข้างยาก (บางคนถึงกับบ่นว่า ฝันเฟื่อง ไร้สาระ) ตัวอย่างเช่น ต้องใช้  EJB Container-managed persistence หรือแม้แต่บังคับนักพัฒนาว่า ต้องใช้ JSF ในการทำ  UI เท่านั้น หรือสำหรับองค์กรที่รัก หรือมีสัญญาผูกกับ Oracle มักจะบังคับนักพัฒนาทุกทีมว่า ต้องใช้ฐานข้อมูล Oracle  เท่านั้น

    นักพัฒนาหลายต่อหลายคนที่ผมรู้จักถึงกับต้องกัดฟันทำไปตามสิ่งที่นักสถาปัตยกรรม แนะนำ (กึ่งบังคับ)ให้ทำ และมักใช้คำว่ามารตฐานขององค์กรมาเป็นเกราะ หรือมีดดาบ เอาเข้าจริงๆหลายต่อหลายครั้งการใช้เทคโนโลยีทางเลือกอาจง่ายกว่าถึง สิบๆเท่า ครับทุกๆคนเคยตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ว่าคุณได้อยู่ในวัฏจักร์ของสถาปัตยกรรมหอคอยงาช้าง

    ขอยืนยันว่าสถาปนิกคอมพิวเตอร์ที่ไม่รับฟังความคิดเห็นของนักพัฒนา มักเป็นคนที่ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้งานระบบเช่นเดียวกัน และหลายต่อหลายครั้งผมเองเคยเจอผู้ใช้งานระบบภาวนาให้ระบบล่ม (เพราะอย่างน้อยจะได้ไม่ต้องใช้ไปซักพัก)

    ในทางกลับกันคนอีกกลุ่มที่เป็นสถาปนิกแบบที่นั่งทำงานกับนักพัฒนาแบบใกล้ชิด เบียดเสียด สถาปนิกประเภทนี้ไม่ลังเลที่จะเอาสถาปัตยกรรมรูปแบบดังที่กล่าวไปมาปัดฝุ่น หรือแม้แต่โละทิ้งเพื่อให้ทันต่อโลกของความเป็นจริง สถาปนิกที่แท้จริงต้องลงมาคลุกคลีงานกับคนทำงานจริง ผู้ใช้ และบางครั้งลงรายละเอียดลึกถึงขนาดของหน่วยความจำของระบบย่อยต่างๆ อัตราการใช้ซีพียู ความต้องการของเน็ตเวิร์ค แม้กระทั่งไวรัสที่แพร่หลาย ข้อจำกัดบางอย่างของการใช้ ไฮเปอร์เทรดดิ้ง (การจำลองการใช้ซีพียูหลายอัน โดยที่มีซีพียูเพียงอันเดียว) หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ของการใช้หลายซีพียูของโค้ดที่นักพัฒนาสร้าง

    สถาปนิกหอคอยงาช้าง (Ivory Tower Architect) มักมีความสุขกับจุดสุดท้ายของสถาปัตยกรรมที่สวยใสไร้ที่ติ แต่ว่าสถาปนิกที่แท้จริงเป็นคนที่หมั่นตรวจสอบความหลากหลาย และแนวทางในการพัฒนาที่จะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นเรื่อยๆ(ไม่มีจุดสิ้นสุด) และคอยตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้ใช้อยู่เสมอ สถาปนิกกลุ่มนี้จะคอยคิดเสมอว่าจะออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างไร โดยที่ไม่ต้องรีบูททั้งระบบ หรือ คิดแม้กระทั่ง เราควรเก็บสถิติเรื่องอะไรเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการออกแบบในอนาคต และมักมีคู่มือสอนให้คนรอบตัวใช้มันให้เป็นด้วย

    สถาปัตยกรรมหอคอยงาช้าง (Ivory Tower Architecture) มีรูปแบบที่พอเสร็จแล้วมักไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอะไร และมักบอกว่ามันได้ถูกออกแบบมาอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว หากแต่สถาปนิกที่แท้จริงมักบอกว่ามันดีเพียงพอ ณ เวลา และมักบอกได้ว่าระบบย่อยส่วนไหนจะมีอายุการใช้งานนานเท่าไร หรือมีลางบอกเหตูที่วัดได้เพื่อจะได้เริ่มออกแบบรองรับในอีก  1-2   ปีข้างหน้า

    ส่วนตัว มีความเชื่อว่าเราทุกคนไม่จำเป็นต้องรอสถาปนิกมาบังคับเราโดยที่เราออกความคิดเห็นไม่ได้ หากแต่เรานักพัฒนาต้องคิดและแนะนำแนวทางในการออกแบบที่ถูกต้องด้วย เริ่มเสียแต่วันนี้ ก่อนที่สถาปัตยกรรมหอคอยงาช้าง (Ivory Tower Architecture) จะล้มพัง และทำลายทุกๆคนที่อยู่ในองค์กร

  • You are allowed to say “NO”

    Can do attitude

    I strongly believe in the people that having a “can do” attitude will eventually bring people to “somewhere” (fill in the blank). However, this “can do” attitude is often misinterpreted to be saying “Yes” to every opportunities that life has to offer.

    However, when I look deep down there is a tendency when people always say “Yes” to everything want to share the world that we feel “fear” of what other people think about us.

    As the rule of thumb, Saying “NO” is not so much about no. In fact, if we look at a different angle, when we say “No”, it actually means you say “Yes” to the things that matter most to us, especially respect those people who trust us enough to let doing something for them.

    So part of my routine is keep telling people that work with me that “You have the right to say  NO”, something that not everybody who is asking for favor will do sincerely.

     

     

  • กลุ่มคนทำงาน กับ ทีมงาน สองสิ่งที่แตกต่าง

    ผมเชื่อเราเคยเป็นหนึ่งในคนทำงานที่เข้าใจว่าการที่คนมาอยู่รวมกลุ่มกัน ทำอะไรร่วมกันซักอย่างเพื่อองค์กร หรือเพื่อวัตถุประสงค์ เป็นการทำงานที่เรียกว่า  “ทีม” แต่จากประสบการณ์ตรงและจากผู้ไหญ่ที่เราได้มีโอกาสทำงานด้วยทำให้ผมเองเปลี่ยนมุมมอง ว่าทำไมบางครั้งเราถึงมีความรู้สึกดีลึกๆในการที่ได้อยู่ร่วมทีมหนึ่งมากกว่าอีกทีมหนึ่ง มองย้อนกลับไปทำเรารู้ว่าแท้จริงแล้วเราได้รับเกียรติให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมเพียงบางทีมเท่านั้น นั่งใคร่ครวญว่า อะไรน่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำงานเป็นทีมที่แท้จริง และเราจะช่วยให้เราเป็นทีมได้อย่างไร

    1. ทีมงานที่ทำงานร่วมกันต้องมีข้อตกลงที่ลงลึกถึงความรากเหง้าของความรู้สึกร่วมกัน เราหลายคนอาจเคยทำงานในทีมที่ มักเรียกตัวเองว่ามืออาชีพ แต่มักปล่อยให้เพื่อนร่วมงานคาดเดาว่าข้อตกลงในการทำงานขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน พอมีปัญหาก็อ้างว่าคนนั้นคนนี้ ไม่มืออาชีพ ตัวอย่างข้อตกลงง่ายก็คือ ทีมเราจะเริ่มทำงานร่วมกันเวลาไหน หลายคนอาจบอกว่าทำไมไม่ทำตามกฏและข้อตกลงทางสังคม หรือมาตรฐานขององค์กร จากประสบการณ์ตรงเวลาที่ดีที่สุดของแต่ละทีมไม่เหมือนกัน และหลายครั้งองค์กรก็ยืดหยุ่นมากพอถ้าเป็นข้อตกลงของทีมที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อองค์กรจนมากเกินไป หากข้อตกลงนั้นทำให้ทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    2. ทีมงานต้องอินกับเป้าหมายร่วมกัน ส่วนหนึ่งของเป้าหมายอาจจะมาจากองค์กร ธุรกิจ สาระสำคัญคือการมองเห็นภาพชัดเจนว่าทีมเรากำลังจะไปทางไหน ผู้นำในทีมเป็นส่วนสำคัญในการที่จะสามารถวาดภาพในหัวของทุกคนให้มีภาพเดียวกันได้ มีซีอีโอท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า ถ้าเราบอกให้ทุกคนวาดช้าง ช้างของแต่ละคนอาจมีลักษณะคล้ายกัน สีแตกต่างกัน จะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะสามารถวาดช้างให้ทีมเห็น ทีมจะได้ไม่ต้องเดาว่าช้างที่ว่าจะเป็นเช่นไร

    3. ทีมที่แข็งเรงคือทีมที่ทะเลาะกันซึ่งๆหน้า การนินทาลับหลัง ตึความคำพูดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การที่จะเป็นทีมที่ดีคือการที่เรากล้าที่จะพูดบางอย่างที่เราอาจไม่เข้าใจ ไม่ชอบใจตรงๆด้วยความรัก ใช่ครับ ความรัก ถ้าเรารักเพื่อนเรามากพอ เราจะกล้าบอกในสิ่งที่เราไม่ชอบ เพราะว่าเราอยากเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนของเรา

    4. ความเชื่อใจเป็นองค์ประกอบทึ่ขาดไม่ได้ ความเชื่อใจนั้นเป็นคำฟุ่มเฟือยที่เรามักใช้ในการของความเห็นใจจากคนอื่น แท้จริงแล้วการที่เราจะได้อะไรนั้น เราต้องให้คนอื่นก่อน ครับการให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นของหายากที่ได้มายาก และเสียไปง่ายมาก ทีมที่ดีคือ การที่คนในทีมรู้ว่าเราจะให้ความไว้ใจกับเพื่อนในทีมอย่างไร และรู้ว่าจะรักษาความเชื่อใจที่คนอี่นมีให้เราอย่างไร

    5. การมองข้ามข้อจำกัดบางอย่างของเพื่อนและมองหาข้อดี(ที่มีอยู่จริง)ของทีมงาน ไม่มีใครสมบุรณ์แบบ แม้แต่ตัวเราเอง แต่หลายครั้งเรามักมองหาความสมบูรณ์แบบจากคนรอบตัวเรา ทีมที่แท้จริงคือการที่เรายอมรับว่าเราไม่สมบูรณ์และยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้นอย่างเปิดเผย และนั่นก็หมายถึงการที่เรายอมรับความเป็นตัวของตัวเองของผู้อื่นด้วย เราอาจไม่ต้องรักทุกๆมุมของเพื่อนเรา แต่เราน่าจะสามารถที่จะมองข้ามไปและไปโฟกัสที่จุดเด่นของเพื่อนเรา

    6. ทีมที่ดีไม่ต้องมีเจ้านาย ผมไม่ได้กำลังบอกว่าการมีเจ้านายเป็นเรื่องไม่ดี รูปแบบองค์กรนั้นไม่สำคัญเท่ากับการสร้างให้ทุกคนมีความเป็นผู้นำเพื่อให้มีความสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา เพราะทีมที่ดีนั้นหากมีภาพที่ชัดเจนว่าจะไปทางไหน เจ้านายแทบจะไม่ต้องสั่งให้ลูกน้องในทีมว่าต้องทำอะไร สิ่งที่เจ้านายต้องบอกก็คืออะไรที่ต้องการ และทำไมถึงสำคัญ หลายต่อหลายครั้งผมได้รับความแปลกใจในความคิดสร้างสรรค์ที่ทีมทำให้อย่างไม่น่าเชื่อ

    7. ทีมที่ดีต้องมีผลงานที่ทุกคนมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งจริง สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ทีมทีีีีดีต้องสามารถสร้างผลงานออกมาได้อยู่เสมอๆ ทีมอาจมีคนที่เก่งมากในเรื่องบางเรื่อง แต่ทีมที่ดีต้องสามารถดึงศักยภาพของทุกคนออกให้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานให้มากที่สุด ทีมทีดีจะไม่มีแค่พระเอกที่รู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่สำคัญที่สุดในการผลิตผลงาน เพราะการรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของของผลงานเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนในทีมให้สิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองให้ทีมงาน

    ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครมีสูตรสำเร็จที่จะสร้างกลุ่มคนทำงานให้เป็นทีมอย่างแท้จริง เพราะผมเชื่อว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่มากกว่าความสามารถ บุคลิกภาพ ความหลากหลาย และองค์กร ผมเชื่อว่าเคมี ดีเอ็นเอ คนบนฟ้า มีส่วนอย่างมากในการพาให้เราได้เจอกลุ่มคนทำงานที่ ณ จุดหนึ่งเราสามารถเอาไปอวดกับคนอื่นได้ว่า เราเคยเป็นส่วนหนึ่งของทีม

    แต่ไม่ว่าปัจจุบันของเราจะอยู่ในกลุ่มคนที่ทำงานร่วมกัน หรือ ทีมงาน อยากให้รู้ว่าองค์ประกอบสำคัญของการสร้างทีม ไม่ใช่การมองหาทีมที่เราจะทำงานด้วย แต่หากเป็นการทำตัวให้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ทุกๆกลุ่มที่เราทำงานด้วยเข้าใกล้คำว่าทีมมากที่สุด และเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อพัฒนาตัวเองให้เป็นเชื้อของทีมที่สามารถมีอิทธิพลต่อทุกคนที่มีโอกาสได้ทำงานกับเรา

    “วันนี้เราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกลุ่มคนทำงาน หรือ ทีมงานที่แท้จริง ?” หนึ่งนาทีที่เราคิดอาจทำให้อีกหมื่น แสน หรือว่าล้านนาทีในอนาคตมีความหมายมากขึ้น

    cogs-and-gears

  • เราทำให้ทุกคนรักเราไม่ได้ (We can’t make everybody love us)

    คนดีมากมายในสังคมก็ยังมีคนที่ไม่ขอบได้ เหตุผมง่ายๆ เพราะว่าเราเกิดมาแตกต่างกัน มีความสนใจที่ไม่เหมือนกัน บุคลิกภาพที่หลากหลาย มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ทุกคนที่รู้จักเรามารักเรา ถ้าหากว่าเป้าหมายชีวิตของเราคือการทำให้ทุกคนชอบเรา ชีวิตนี้คงมีแต่ความทุกทรมานและผิดหวังซ้ำๆซากๆ

    สิ่งที่เราน่าจะทำได้คือเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดในทุกการพบปะ สังสรรค์ ทำงาน เค้าเหล่านั้นอาจจะไม่ได้ขอบเราในทันที แต่มันคงเป็นการยากเหมือนกันที่เค้าจะเกลียดเรา เราสามารถที่จะกระชับความสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยการเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด คุณลักษณะที่สำคัญที่เราต้องยืดถือเสมอคือ ความซื้อสัตย์ ครงไปตรงมา และมีจริยธรรม และเมื่อเรามีชีวิตดังกล่าว อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่มีค่านิยมเหมือนกับเรา แต่เราจะได้รับความนับถือในค่านิยมของเรา และสุดท้าย การที่เรามีความเคารพต่อตัวเองนั้นมีค่ามากกว่าความนิยมที่เราได้จากคนอื่นมายมาย อย่างไม่ต้องสงสัย

    Even the most popular people have their detractors. Because we are all different, with differing interests and personalities, it is simply impossible for anyone to be beloved by every individual who knows him or her. If your mission in life is to make everyone like you, great disappointment is in store. But if you are always kind and considerate in your dealings with others, they may not like you, but it will be impossible for them to dislike you. You can cement your relationships with others by making sure that you are a person of character, one who is predictably honest, straightforward, and ethical. When you follow such a code of conduct, you may not be sought out by others who do not share your value, but you will be respected by all who know you. And in the end, self-respect will mean far more to you than mere popularity.

    Respect-yourself-enough-300x300