Category: Coaching

  • Cultural differences between Asian and Westerner about help วัฒนธรรมที่ต่างระหว่างเอเชียกับตะวันตกในเรื่องความช่วยเหลือ

    One of the Agile Singapore Keynote that was well delivered by Jim McCarthy is around hacking the culture, where he talked about how to bring team to the next level of change, “Culture”. He introduces the nice open source protocol at liveingreatness.

    I have learned a lot from his session but as I am one of the people who has been trying to change the culture of my environment for many years. I found one an interesting but controversial topic about culture about help is a little different and needs to be tuned based on the local culture.

    Jim was mentioning about “we shouldn’t offer help to other people because it will lower the effectiveness”. In my opinion, it’s probably true for westerner but when it comes to Asian culture, offering help often show the good result. This is because in Asian culture, we are very reluctant to ask for help because we don’t know how others would think about us. In order to work effectively in Asia, people will need to read between the line and offering help is the best way to find out the message under hidden agenda.

    ในหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจในงาน อไจล์สิงคโปร์ ที่ถ่ายทอดโดย จิม แม็คคาที่ คือการ เจาะเพื่อเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวสั้นๆคือการเปลี่ยนแปลงในระดับลึกที่สุด หรือ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม จิมได้ให้รายละเอียดไว้อย่างน่าสนใจใน  liveingreatness.

    ถึงแม้ว่าจะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้เรียนรู้อะไรอย่างมาก แต่ ในฐานะคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำการปฏิรูปองค์กรในระดับวัฒนธรรมอยู่หลายปี มีข้อหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นที่โต้แย้งในชั้นเรียน และอยากแบ่งปัน คือ จิมสอนว่า เราไม่ควรที่ยื่นข้อเสนอที่จะช่วยเหลือ เพราะนั่นจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาได้ไม่ดีที่สุด

    ในความคิดเห็นส่วนตัว เราคนที่เป็นเอเชีย กลับพบว่าด้วยโครงสร้างวัฒนธรรมของเราเป็นคนที่เกรงใจ และไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไงถ้าเราไปขอความช่วยเหลือเค้า (ในภาษาอังกฤษ ไม่มีคำว่าเกรงใจ จริงๆ) ฉะนั้นถ้าอยากทำงานให้เกิดผลดีในย่านเอเชีย คนที่ทำงานต้องมีศิลปะในการอ่านใจคนว่า เพราะอะไรคนพูดถึงคิดแบบนั้น และ หลายครั้งการกระทำดังกล่าวก็ทำให้หลายต่อหลายงานในชีวิตของผมเองเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย

  • การสร้างสถาปัตยกรรมบนพื้นฐานของความไม่แน่นอน

    สิ่งที่เรียนรู้จากงาน อไจล์สิงคโปร์ จาก Architecture of Uncertainty, Kevlin Henney พอจับใจความได้คร่าวๆคือ

    1. เริ่มออกแบบจากสิ่งที่ยากที่สุด หลายต่อหลายครั้งเรามักไปทำส่วนที่ง่ายที่สุด แล้วค่อยย้อนไปมองส่วนที่ยากที่สุด แต่ในมมของ Kevlin คือ ต้องสร้างสถาปัตย์เหมือนกับการสร้างบ้าน คือคิดในส่วนที่เป็นรากฐานของบ้านให้ดี แล้วค่อยไปโครงสร้างชั้นถัดไป
    2. ทุกคนที่มีส่วน ไม่ว่าจะเป็นคนสร้างโคด หรือ แม้แต่คนที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างไม่ว่าทางใด ทางหนึ่่งเป็นนักสถาปัตยกรรมหมด ตำแหน่งหรือว่าคนเป็นแค่ตัวแทนของคนที่รวบรวมเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน
    3. การสร้างสถาปัตยกรรมเหมือนกับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Big bang ตอนเริ่มต้น เริ่มจากเล็กๆมากแต่พอขยายมันกลายโลกอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ เช่นเดียวกับการเขียนโคด วันแรกเราอาจไม่ได้คิดอะไร แต่เราอาจกำลังสร้างกับดักให้กับตัวเองในอีกสิบปีถัดไป
    4. การทำสถาปัตยกรรมแบบที่เรารู้จักกันดี คือ วิเคราะห์ ออกแบบ เขียนโคด และ ทดสอบ ใช้ไม่ได้กับซอฟ์ตแวร์ (แต่อาจใช้ได้กับกลุ่มงานกลุ่มอื่นได้) และมีหลายคนมักโต้แย้งว่า ถ้าหากว่าเรา สามารถที่จะทำให้ทุกอย่างนิ่งได้ เราน่าจะใช้วิธีการดังกล่าวได้ แต่คนสอนบอกว่า ถึงแม้ว่าเราจะทำให้ทุกอย่างนิ่งได้ แต่ยังมีอีกหนึ่งปัจจัย คือตัวเราเอง นั้นไม่นิ่ง สิ่งที่เราเคยคิด ณ จุดหนึ่ง มักเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา
    5. ความเชียวชาญของนักสถาปัตยกรรมไม่ใช้ในระดับองค์ความรู้แต่หากเป็น ระดับในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เช่น หนังเรื่องเดิม หากเราดูซ้ำๆหลายๆรอบ แต่ละรอบเราจะได้ความรู้ หรือข้อมูลที่แตกต่างกัน ฉะนั้นคนที่เป็น ในระดับผู้เชียวชาญ จะตั้งคำถามที่แตกต่างจาก ระดับเริ่มต้นเสมอ
    6. การออกแบบสถาปัตยกรรมที่ดีไม่ใช่การทำให้สมบูรณ์แบบ แต่หากเป็นการออกแบบให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมของเราให้ง่ายที่สุดด้วย
    7. สถาปัตยกรรมที่ดีต้องสร้างโคด แล้วทดสอบได้ทันที ไม่ใช่รอ หรือว่าทำใน power point/ key note
    8. ไม่มีสถาปัตยกรรมที่ สามารถรองรับได้ทุกสิ่ง General Purpose Architecture never exist!

    อยากรู้เพิ่มเติมดูเพิ่มได้ที่ 97 things every architect should know

    architect

  • ทำไมต้องตั้งฝึกตั้งคำถาม

    ทักษะธรรมดาๆที่หลายคนมองข้ามคือทักษะในการตั้งคำถามกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต แต่เราหลายคนพอเริ่มโตขึ้นกลับเริ่มทำมันน้อยลง ทั้งๆที่เราเรียนรู้การการพูด ฟัง อ่าน เขียน จากการตั้งคำถาม

    ได้มีโอกาสนั่งคิดว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ คนไม่ตั้งคำถาม เลยได้ข้อสรุปบ้างจากการพบปะพูดคุย กับพี่ๆน้องที่เราสัมผัส ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เลยอยากจะมาแบ่งปัน

    1. บางคนเคยเป็นคนชอบตั้งคำถามแต่ ตอนเด็กๆโดนสังคมในโรงเรียน หรือที่บ้านปลูกฝังให้เชื่อฟัง การตั้งคำถามคือการไม่เชื่อฟัง (หรือภาษาชาวบ้านคือ เถึยง)
    2. เข้าใจผิด คิดว่าการถามคือแปลว่าโง่ เลยกลัวดูแย่ เลยไม่ต้องรู้อะไรกันพอดี
    3. ไม่อยากถามเพราะว่าคิดว่ารอฟังให้จบเผื่อว่าจะได้คำตอบพอได้ฟังเรื่องทั้งหมด
    4. ไม่รู้จะถามอะไร เพราะว่าไม่รู้เรื่องเลย
    5. ไม่ถามเพราะว่าคิดว่าตัวเองรู้แล้ว พอได้ยินอะไรแปลกจากที่ตัวเองรู้ เลยสันนิษฐานว่าคนอื่นคิดผิด
    6. ไม่ถามเพราะว่าอยากไปหาคำตอบเอง (อีโก้สูง)
    7. ไม่ถามเพราะว่าคิดว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ เพราะว่าคนพูดไม่รู้จริง (กลัวหักหน้าคนพูด)
    8. ไม่ถามเพราะว่าเรียบเรียงประโยคให้สวยหรูไม่ได้ (อันนี้เจอบ่อยในบรรดา โปรแกรมเมอร์ คนทำงาน)
    9. ไม่ถามเพราะว่าไม่อยากให้ประชุมลากยาว (โดยเฉพาะประชุมก่อนเที่ยง
    10. ไม่ถามเพราะว่า ไม่รู้จะถามอะไร คนพูด หรือ คนอธิบายได้ดีมาก

    หลากหลายเหตุผล แต่โดยส่วนตัว การตั้งคำถามเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน เพราะว่า คำถามที่ดีนั้นสำคัญ เพราะว่าถ้าเราตั้งคำถามผิด ต่อให้ได้คำตอบที่ถูก ก็ไม่มีประโยชน์ ลองดูครับ หัดตั้งคำถามง่ายๆ ด้วย เทคนิคง่ายๆ เช่น เป้าหมายของการพูด ใครที่เกี่ยวข้องบ้าง เพราะอะไรเรื่องนี้จึงสำคัญ เมื่อไหร่จะเกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นที่มีผลในทางตรง ทางอ้อม  ถ้าหากเกิดกรณีพิเศษจะเป็นอย่างไร ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว

    การตั้งคำถามนอกจากทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นแล้ว ยังจะทำให้เราพัฒนาความเชื่อมั่นต่อเพื่อนร่วมงานอีกด้วย เพราะว่าสิ่งที่เราทำถามอาจทำให้ใครอีกหลายคนได้รับคำตอบที่เค้าไม่กล้าถามก็เป็นได้

    Questions and Answers signpost

  • เวลาใคร่ครวญกับตนเองนั้นจำเป็น

    เรื่องง่ายๆที่ทุกคนสามารถทำได้คือการใช้เวลาซัก 15-45 นาที คุยกับตัวเอง

    • สิ่งที่เราต้องการ
    • สิ่งใหม่ที่เราได้เรียนรู้
    • คนใหม่ที่เรารู้จัก
    • ข้อผิดพลาดที่อยากปรับปรุง
    • ประโยคเด็ดที่ได้จากหนังสือ (ในกรณีที่เราอ่านหนังสือทุกวัน)
    • สร้างแบรนด์ของเรา อย่างที่เราอยากให้คนนึกถึงเราหรือไม่
    • ได้ช่วยใครบ้าง
    • บรรลุเป้าหมายประจำวันหรือเปล่า
    • ดูแลคนที่เรารัก (พ่อแม่ พี่น้อง แฟน ภรรยา ลูก)

    การดูแลตัวเอง หรือทิศทาง ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ทุกรายละเอียดตลอดเวลา แต่หากเป็นการที่เราสามารถที่จะพยายามมองหารายละเอียดได้ทุกวันโดยไม่เบื่อหน่าย

  • บางสมการชีวิตนั้นจำเป็นต้องเจ็บปวด

    คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าหลายๆคนเติบโตมาในระบบสังคม การศึกษาที่วางกรอบว่า เราควรเรียนรู้บทเรียนก่อนที่จะเจอบททดสอบ แต่หากสมการชีวิตมักเจอบททดสอบก่อนถึงจะได้รับบทเรียน เค้าเรียกไม่เจ็บไม่จำ (ภาษาอังกฤษเค้าว่า no pain, no gain)

    คงไม่บอกว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็นแต่การที่จะเอาสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์นั้นบางครั้งก็ยาก ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสเข้าไปแบ่งปันวิธีการสร้างผลงาน สร้างทีม ด้วยการทำงานแบบอไจล์ให้กับกลุ่มคนหลากหลายชาติ ทั้งนักคิด ผู้บริหารระดับสูง กลาง และคนลงมือทำงาน สิ่งหนึ่งที่ต้องคอยเตือนก็คือ บางครั้งเราต้องยอมให้พี่น้องบางคนได้ลองล้มดูบ้าง ผลลัพธ์ที่ต้องยอมรับคือจะมีกลุ่มคนประมาณสามกลุ่ม คือ

    1. ล้มแล้วเรียนรู้และไม่กลับมาทำมันอีก กลุ่มนี้เป็นคนฉลาดที่ไม่ยอมเจ็บซ้ำสอง เปลี่ยนแปลงเร็วและวิ่งเข้าลู่เร็ว
    2. ล้มแล้วเรียนรู้แต่ไม่อาจปรับพฤติกรรมให้ทำสิ่งที่ถูกต้องได้ คนกลุ่มนี้อาจใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยน แต่อย่างน้อยเค้าพยายาม โดยส่วนตัวเชื่อว่าในที่สุดคนกลุ่มนี้จะเปลี่ยนได้
    3. ล้มแต่ไม่เรียนรู้และทำผิดพลาดเรื่องเดิมซ้ำๆ และหลายครั้งไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามหาเหตุผลเพื่อจะมารองรับความล้มเหลวของตนเอง คนกลุ่มนี้น่าสงสาร เพราะว่าการเดินหันหลังให้กับโอกาสบางอย่างของชีวิตมักสร้างความขมขื่นในระยะยาว

    โดยส่วนตัวผมเคยตกอยู่ในกลุ่มคนทั้งสามกลุ่ม บางเรื่องเราอาจเรียนรู้เร็วและก้าวไปอย่างรวดเร็ว แต่บางเรื่องอาจไม่ยอมรับเพราะว่าเหตุผลส่วนตัวและข้อจำกัด บางเรื่องเราไม่ยอมรับเพราะว่าอาจจะยังไม่ได้พบกับคนที่ทำให้เราเข้าใจบทเรียน

    หลายครั้งเราก็มักท้าทายกับชีวิตว่า อยากเล่นจริง เจ็บจริง หลายๆครั้งถึงจะยอมเรียนรู้

    แล้วคุณล่ะเป็นแบบไหน?

     

     

  • ลำยอง

    lamyong

    ช่วงนี้ถ้าใครไม่รู้จักละครเรื่องทองเนื้อเก้า ที่ทำเอาถนนโล่งตอนช่วงหัวค่ำ กรมสุขภาพจิต กระทรวง ทบวงกรม ต่างออกมาวิพากวิจารณ์ ละครดังกล่าวว่าเข้าข่ายทำลายจิตสำนึกที่ดีของเด็กไทย ได้มีโอกาสได้ดูไปบางตอน บ่องตง ก็สนุกดีเหมือนกัน และในหลายๆวันที่ไม่ได้ดูก็จะรู้ความเคลื่อนไหวเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะว่าเฟสบุค เพื่อนๆนี่ต่างพากันรุมด่าว่าลำยอง มากมาย สนุกปาก

    นอกเหนือจากความสนุกของเรื่องที่แฉชีวืตของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีลักษณะนิสัยที่ไม่ค่อยดีนักในการเลี้ยงลูก เป็นกุลสตรีที่ดี กตัญญู และคุณสมบัติต่างที่เราในสังคมมองว่าเป็นสื่งที่ดีควรทำในกรอบของสังคมไทย

    ถ้าเรามองอีกมุม ลำยองมีบุคลืกบางอย่างที่จะทิ้งเป็นข้อคิดให้คนในสังคมได้มองย้อนว่าเราน่าจะได้เรียนรู้อะไร นอกจากความไม่เอาไหนของลำยอง

    ที่ขัดๆที่มองเห็นคือ ลำยองมีความมุ่งมั่นที่จะได้มาซึ่งเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ขาตินี้ ต้องอยู่โดยไม่ต้องทำงาน หาความสุขไปให้มากที่สุด มุ่งมั่นขนาดที่ยอมละทิ้งจากคนรอบข้างว่าเป็นคนไร้ความเป็นมนุษย์แค่ไหน สื่งที่น่ายกย่องของลำยองคือ ไม่ว่าจะเจอสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจแค่ไหน ลำยองก็จะยืดเป้าหมายของตนไว้ให้มั่น และมองหาโอกาสต่อไปเสมอๆ

    ละครเรื่องนี้ตอนสุดท้าย ลำยองเป็นเอดส์ตาย (อย่าโกรธกันที่เฉลย อิๆ) แต่ในชีวืตจรืงเราอาจเคยเจอลำยองที่ประสบความสำเร็จในการตามหา และทำตามเป้าหมายที่วางไว้สำเร็จและได้สามีที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวืตได้

    คงไม่ได้กำลังบอกให้ทำตามลำยอง แต่อยากให้ลองคืดดูว่าบ่อยครั้งแค่ไหนที่เราตั้งใจจะทำอะไรซักอย่าง แล้วคนรอบข้าง ไม่เห็นด้วย แล้วเราก็หยุดทำไป เพราะคำพูดของคนอื่น เพียงเพราะว่ากรอบของสังคมบอกว่า เราจะมีชีวืตที่ดี ที่หลายคนยกย่อง ด้วยการเป็นไปตามเส้นทางที่สังคมวางไว้

    โดยส่วนตัวคิดว่าสังคมเรามีคนที่เหมือนกันมากพอแล้ว ถ้าเราจะก้าวไปข้างหน้า เราคงต้องหาตัวตนของเราให้เจอ และจัดหนักความตั้งใจ โดยไม่สนใจเสียงของคนรอบข้างบ้างในบางเรื่องที่ไม่ได้ก่อให้เกืดความเสียหายต่อชีวืตของเราและคนรอบข้าง บางครั้งเราอาจจะได้เป็นลำยองที่ต้อนบั้นปลายประสบความสำเร็จ โดยที่คนอื่นอาจอืจฉาตาร้อนก็เป็นได้

     

  • อไจล์ฮาโลวีน

    เมื่อวานเป็นวันฮาโลวีน เลยได้มีโอกาสไปดูประวัติของวันฮาโลวีนจาก  VRZO เลยทำให้รู้ว่าวันฮาโลวีนนั้นแท้จริงเป็นของชนเผ่าหนึ่งที่เชื่อว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่วิญญาณจะสามารถเชื่อมโยงกับโลกได้ และวิญญาณเหล่านี้ก็จะมายังโลกเพื่อสิ่งมนุษย์ เพื่อจะได้รู้สึกมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง การแต่งตัวเป็นผีนั้น ก็เพื่อเป็นการหลอกให้วิญญาณไม่เข้าสิง

    เลยพยายามนึกภาพให้ตรงกับการทำอไจล์ในองค์กร หนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการทำอไจล์คือ กลุ่มคนที่ทำตัวเหมือนเข้าใจแต่แท้จริงแล้วไม่อยากจะทำจริงแต่ว่าไม่กล้าบอกความรู้สึกที่แท้จริง กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่เราต้องสอดส่องดูแลเค้าให้มากๆ เพราะว่านอกจากคนเหล่านี้จะเป็นนักทำอไจล์ แบบขอไปที เผลอๆยังมีแนวโน้ม พาคนไปทำอไจล์ในแนวของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

    สิ่งที่ผมจะบอกคนเหล่านี้เสมอก็คือ ถ้ารู้สึกว่าทำอไจล์ให้ตรงกับหลักการณ์ไม่ได้ก็บอกมา และยอมรับ และเรียนรู้การทำอไจล์ จากคนที่รู้จริง ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความรวมถึงคนที่ กำลังศึกษาและลองผิดลองถูกอยู่นะครับ เพราะว่าหนึ่งในกระบวณการของอไจล์คืการได้ลองทำและหาผลตอบสนองจากผู้คนรอบตัว หรือ ลูกค้าของเรานั่นเอง

  • ความมั่งคั่งมีเหลือเฟือ ถ้าเราเข้าใจ

    ช่วงนี้ได้มีโอกาสย้อนนึกไปถึงผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เราเคารพมากท่านหนึ่ง ได้เคยบอกเราว่า จำไว้เสมอว่าโลกนี้มีเงินเพียงพอสำหร้บทุกคน เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแย่งงาน หรือ ไปเอาเปรียบ หรือ ไปคิดโกรธคนที่มาเอาเปรียบเรามากจนเกินไป หลายปีแล้วที่คำสอนนี้ก้องอยู่ในหัวเรา และ มันก็ทำยากมากเลย เวลาเจอสถานการณ์การจริง

    หลายปีที่ผ่าน ประสบการณ์ได้สอนเราว่าคำสอนดังกล่าวเป็นความจริง เพราะว่า หลายครั้งที่เรามัวแต่ไปคิดว่าเราจะไปแย่งงานคนอื่นมาได้อย่างไร เราอาจจะทำงานของเราได้ตรงใจเจ้านายของเราไปแล้วก็ได้ หรือ แม้แต่บางครั้ง ดูเหมือนงานของเรา แต่มีคนเอาหน้าไป และเรามานั่งเก็บเป็นความแค้นฝังหุ่นว่า ซักวันจะต้องเอาคืนบ้าง แต่ถ้าลองคิดให้ดี คนที่ทำเยอะก็จะได้เยอะ ได้ในที่นี้อาจจะไม่ใช่ตัวเงิน ชื่อเสียง แต่เป็นประสบกาณ์ที่ไม่มีวันที่ใครจะเอาไปจากเราได้

    และหลายครั้งการปล่อยให้คนอื่นเค้าได้ในสิ่งที่เค้าไม่สมควรได้ อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนเหล่านั้นมากๆเลยก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น คนเหล่านั้นอาจกำลังอยู่ในสภาวะที่ครอบครัวต้องการเงินอย่างเร่งด่วนในการทำกิจอะไรซักอย่างที่สำคัญต่อชีวิตเค้า ถ้าเรารู้อย่างนี้เราอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก และเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตของตนเองก็เป็นได้

  • เทคนิคการปลุกพลังของในทีมงาน

    เราหลายคนคงเคยตกอยู่ในสภาวะที่ต้องทำงานที่ซ้ำซาก และบ่อยครั้งพลังในแต่ละวันเริ่มลดถอยลงไป หลากหลายสาเหตุที่มีโอกาสสัมผัส แก้ได้บ้าง แก้ไม่ได้บ้าง บ้างก็เกิดจากทิศทางของงานไม่ชัดเจน หรืองานที่ทำไม่ตื่นเต้นแล้ว

    หลักการที่ใช้อยู่เสมอ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้นำทั้งไทยและเทศ มาแบ่งปันกัน เผื่อว่าจะช่วยได้

    การหารากเหง้าด้วยการคุยบ่อยๆ

    ความท้าทายที่ยากสุดคือการหาต้นเหตุของความเบื่อหน่ายให้เจอ และวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการคุยกับตัวเองหรือคนในทีม บ่อยครั้งเรามักที่จะลืมคุยกับคนในทีมบ่อยเพื่อเข้าใจความต้องการลึกๆของแต่ละคน การนัดคุยอย่างเป็นประจำเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกว่าเราใส่ใจ และบ่อยครั้งก็เป็นการปลุกพลังที่ดี

    การเล่าภาพใหญ่

    วิสัยทัศน์เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ทีมมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการบอกทิศทางของทีม หรือองค์กร หลายต่อหลายครั้งเป็นการยากเหมือนกันสำหรับคนที่ลงมือทำงานจะวาดภาพใหญ่ได้ ภาพใหญ่จะทำให้ทีมงานรู้ว่าเค้ากำลังเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรม หรือไอเดียใหม่ๆที่กำลังจะเปลี่ยนโลก และความตื่นเต้นก็มักจะเป็นผลพลอยได้จากการส่งต่อภาพใหญ่ด้วย

    การมีส่วนร่วม

    ยาแก้พิษความเบื่อหน่ายคือการลากเอาทีมงานมามีส่วนร่วมในการวางแผน อาจจะเป็นกิจกรรมเจาะจงเพื่อเป้าประสงค์ที่ใหญ่กว่าทีมงานหรือสิ่งที่ทำอยู่ทุกวัน จากประสบการณ์ วิธีการดังกล่าวจะสร้างความเป็นเจ้าของในงาน และสร้างความเชื่อว่างานที่เค้าทำนั้นมีความสำคัญต่อโครงการหรือองค์กร

    ปรับเปลี่ยนงานให้เหมาะสมกับแต่ละคน

    วิธีการที่ดีคือการปรับบทบาทหน้าที่ของคนในทีมให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำบ้าง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และทำงานให้ดีซึ่งจะกระตุ้นพลัง จากการที่สามาระทำงานได้ตามเป้าหมายส่วนตัววางไว้

    ทำกิจกรรมสนุกๆกับทีมงาน

    การเล่นเกมส์ เล่นกีฬา ออกต่างจังหวัด บ่อยครั้งผมเองพอเห็นทีมเริ่มเบื่อ การนัดออกไปสังสรรค์เป็นสิ่งที่จะทำประจำ หรือแม้แต่นัดออกไปเตะบอล เล่นบาส หรือกีฬาอื่นที่ทุกคนในทีมสามารถมีส่วนร่วมได้ และหลายครั้งก็ทำให้ทีมกลับมามีขีวิตชีวาได้อีกครั้ง

     

  • คำถามที่สำคัญ ทำไม Why…

    เราหลายๆคนอาจเคยอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออกว่า เพราะอะไรงานที่เราทำออกมาถึงขายไม่ได้ หรือไม่มีคนสนใจ ทั้งๆที่เราทำสิ่งที่ดี ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ดีไซน์ชั้นยอด

    จากการพูดคุยและประสบการณ์ตรงทำให้ได้เจอสาเหตุซึ่งเป็นเหมือนเส้นผมบังตา

    ทำไม คำถามง่ายๆที่เราลืม เพราะเรามัวแต่ไปคิดว่าเราจะทำอะไร โดยลืมไปทำไมเราถึงทำสิ่งนั้น และทำไปเพื่ออะไร สินค้าต่างๆที่ทำออกมาต้องตอบโจทย์ของลูกค้า และบ่อยครั้งเหลือเกินในการผลิตซอฟต์แวร์ ที่ไม่มีคนสนใจหรือ ว่าไม่อยากใช้ก็เกิดจาก การทีทีมไม่ได้คิดว่าทำไมเราถึงทำสิ่งที่เราทำ ฟังดูงงๆ เพราะว่าการตั้งคำถามผิด ต่อให้เจอคำตอบที่ถูกก็ผิดอยู่ดี

    งงมั้ยครับ ถ้างงให้ถามตัวเองว่า ทำไม