Category: Coaching

  • 10 อย่างที่สร้างแรงดึงดูดให้คนอยากทำงานด้วย

    ทำงานกับคนมาก็เยอะพอควร พอดีมีโอกาสจะได้แบ่งปันให้พี่ๆน้องๆให้เป็นคนที่สามารถที่สร้างทีมได้ มีคนรัก คนฟัง คนหลง เลยพยายามนึกว่า จากความรู้ประสบการณ์ที่พอมี นึกออกได้ประมาณนี้ (ลำดับก่อนหลัง ไม่ได้บอกว่าอะไรสำคัญกว่า)

    1. เลิกพูดเรื่องตัวเอง คงจะดีถ้ามีแต่คนอยากรู้เรื่องเรา แต่ในความเป็นจริง ถ้าคนอื่นไม่ถามเราควรแบ่งเวทีสนทนาให้ทุกคนในวงเราด้วย เพราะว่าคนอื่นคงอยากให้เราสนใจเค้าบ้างเหมือนกัน

    2. สนใจคนอื่นอย่างแท้จริง อันนี้ยากมากโดยเฉพาะเวลาที่เรามีเรื่องที่เรามีความคิดเห็นไม่ตรงกับอีกฝ่าย เรามักแค่ได้ยิน แต่ไม่ได้ฟัง ประมาณเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา การที่เราไม่พยายามมองหาความหลากหลายโดยพยายามมองหาจุดแข็งของความคิดต่าง นอกจากทำให้คนไม่อยากทำงานกับเรา แถมอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการเรียนรู้ด้วย

    3. ยอมรับผิดบ้าง และขอโทษเป็น เมื่อวานซืนนั่งรถไฟฟ้า แอบได้ยินคนข้างๆเถียงกันในเรื่องความสมบูรณ์แบบของกันและกัน ต่างคนต่างไม่ยอมรับว่าตัวเองมีส่วนในปัญหาที่เกิดขึ้น บ่อยครั้งในชีวิตเรา ไม่จำเป็นต้องถูกตลอดก็ได้ คนเรามักให้โอกาสคนอื่นเสมอเวลาที่อีกฝ่ายยอมลดราวาศอกลงบ้าง และยอมขอโทษจากใจ

    4. มีความมั่นใจ แต่ว่าถ่อมตัวเป็น ความมั่นใจเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะมันทำให้เรามีความพยายามในสิ่งที่เรามั่นใจและสามารถที่จะเป็นผู้นำเพื่อไปสู่เส้นชัย แต่ความมั่นใจที่ดีไม่ใช่การไปกดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อตัวเองสูงขึ้น ร้อยทั้งร้อยคงไม่มีคนอยากทำงานกับคนที่ทำให้เรารู้สึกแย่ตลอดเวลาหรอก

    5. เห็นความสำคัญของคนอื่นเสมอ เชื้อยีสที่ดีจะทำให้แป้งนั่นฟูและน่าทาน ไม่มีใครทำการใหญ่คนเดียวได้ (งานเล็กหลายงานก็ไม่ได้) การพยายามหาจุดดีคนรอบข้างเสมอจะทำให้เราใช้ศักยภาพของเพื่อนมาทำให้งานบรรลุผลได้ดีและเร็วขึ้น และเราอาจจะได้เรียนรู้เรื่องดีๆที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้

    6. ไม่นินทาคนอื่น บางครั้งการนินทาลับหลังนี่เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงยาก ทำบ้างแต่เป็นการติเพื่อก่อ คงไม่ได้มีผลลบมากนัก แต่หากว่านินทาโดยที่ไม่พยายามไปคุยกับเจ้าของเรื่อง อาจพาทำให้คนอื่นรู้สึกว่า แล้วเราจะพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเค้าลับหลังมั้ยน้อ

    7. ให้เครดิตคนอื่นลับหลัง อันนี้ไม่ได้กำลังบอกว่าไม่ให้ชมคนอื่นซึ่งๆหน้า แต่ว่าการให้เครดิตคนอื่นลับหลังเป็นหลักการในการสร้างทีมที่เยี่ยมยอด ทีมโดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีคนที่บุคลิกเหมือนกัน ความแตกต่างนี่แหล่ะที่จะทำให้ทีมแข็งแกร่ง แต่บ่อยครั้งที่พอมีคนมาว่าเพื่อนร่วมงานให้ฟัง เราก็เออออด้วย โดยลืมพยายามมองหาข้อดีเพื่อให้คนในทีมสามารถทำงานร่วมกันได้ ไม่ได้บอกให้ไม่ใส่ใจข้อเสีย แต่ให้มองหาข้อดีแล้วอย่าลืมบอกคนข้างๆด้วยล่ะ

    8. ฟังมากกว่าพูด เคยเจอคนรู้ทุกอย่างมั้ย บ่องตรงๆ ตัวเองนี่แหล่ะเคยเป็น การรู้เยอะไม่ใช่เรื่องผิดแต่การไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้แสดงออกบ้าง มันทำให้คนอื่นไม่อยากคุยกับเรา หรืออยู่ในวงของเรา

    9. ยอมรับความเสี่ยงเพื่อคนอื่น ในการอยู่ร่วมกัน บางครั้งมีสถานการณ์ฉุกเฉินที่ควรต้องตัดสินใจ แต่บ่อยครั้งจะเจอว่าต้องรอต่อคิวไปบอกเจ้านายสิบต่อกว่าจะตัดสินใจได้ และหลายครั้งความล่าช้าในการตัดสินใจนี่แย่กว่าตัดสินใจผิดพลาดอีก ฉะนั้น การตัดสินใจไปแลยืดอกยอมรับผลที่ตามมาก็ทำให้คนอยากทำงานกับเราอีก แต่ได้โปรดอย่าตัดสินใจโดยลืมถามเพื่อนร่วมงานด้วย แต่ตัดสินใจและยอมรับผิด แต่ให้ความชอบกับทีม

    10. ยึดมั่นคำมั่นสัญญา อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไร ไม่มีใครอยากทำงานกับคนไม่รักษาสัญญา แต่ถ้าเราพลาดเราต้องไม่รอช้าที่จะรีบบอกขอโทษและพยายามไม่ผิดพลาดซ้ำอีก

  • เคลิ้มเลย…เมื่อเจอคนงานที่เป็นเถ้าแก่

    วันก่อน เจอสองเหตุการณ์ที่ย้ำให้เรารู้ว่า คนเราทำอะไรมากกว่าทีเราคิด ไม่ว่าเราเป็นสถานะอะไรก็ตาม ทั้งสองเหตุการณ์สอนให้รู้ว่า การเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

    เริ่มจากเหตุการณ์เช้าวันหนึ่งที่ ร้านกาแฟสตาร์บัค ที่เซลทรัลพระรามเก้า ด้วยความที่เราต้องคุยงานกับเพื่อนๆที่ร้าน เลยซื้อกาแฟ อาหารเช้า และที่ขาดไม่ได้เลยคือน้ำเปล่า เลยสั่งน้ำเปล่าไปหกขวด พนักงานก็บอกให้หยิบเลย ตรงตู้แช่ด้านหน้า เราเองก็เอื้อมไปหยิบ เอ๊ะแต่ว่ามีแค่สี่ขวด เลยบอกว่าขอเพิ่มอีกสองขวด พนักงานเลยเอื้อมไปหยิบด้านในมาอีกหนึ่งขวดพร้อมบอกว่าจะเอามาให้อีกขวด รอสักพัก พนักงานออกมาพร้อมกับ น้ำดื่ม Avian ให้เรา (แต่เราสั่งไปเป็นมินะเร่) พนักงานเหมือนรู้เลยบอกว่า ขอโทษทีค่ะ มินะเร่หมด ขออนุญาตให้ขวดนี้แทนนะคะ

    วันเดียวกันไปทานข้าวมื้อดึกที่ Oyster Bar ซอยนราธิวาส 24 แถวบ้านตอนเกือบสี่ทุ่ม หิวจัดเลยสั่งหอยไปสิบกว่าตัว พร้อมกับสั่งไวน์ขาดไว้กินกับหอยนางรมดิบเหล่านี้อีกหนึ่งแก้ว พอทานไปได้ซักหน่อย มือก็ดันไปปัดโดนแก้ว ไวน์หกหมดเลย แอบเขิน แต่ก็ขอโทษเค้า ซํกพักเค้าเดินมาบอกว่าจะเอาไวน์เพิ่มมั้ยคะ เราเองก็บอกว่าไม่ละ เค้าก็เดินไปและกลับมาพร้อมกับแก้วใหม่และเทไวน์ให้ แล้วบอกว่าไม่คิดเงินค่ะ เรานี่ดีใจตัวลอย

    ทั้งสองเหตุการณ์ ผมเคยเจอมาบ้างเวลาไปร้านที่มีเจ้าของอยู่ด้วย เพราะว่าเค้ามีอำนาจตัดสินใจ และหลายครั้งที่ไปหลายร้านแล้วเจ้าของไม่อยู่ ก็มักไม่ได้อะไรอย่างนี้ แต่เราก็เข้าใจเพราะว่า พนักงานส่วนใหญ่ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจแทนร้านเหมือนเจ้าของ

    แต่เหตุการณ์สองอันนี้ทำให้เรารู้ว่า วัฒนธรรมองค์กร ในการสร้างจิตสำนึกในการดูแลลูกค้า เป็นสิ่งที่สร้างยากแต่เป็นไปได้ การสร้างนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้า หัวหน้าองค์กร ไม่ให้ความไว้วางใจกับพนักงานว่าเค้าจะทำสิ่่งที่ดีทึ่สุดสำหรับลูกค้าเสมอ ทั้งสองเหตุการณ์ ทำให้ร้านต้องสูญเสียรายได้ไม่น้อยทีเดียว แต่พนักงานก็พร้อมที่จะทำเพื่อความสุขของลูกค้า

    โดยส่วนตัวทำให้ทั้งสองร้านติดตราใจไปอีกนาน และคงกลับมาทานบ่อยๆ เพราะว่าการกระทำเล็กๆน้อยโดยเอาใจลูกค้าเป็นที่ตั้ง

    นี่แหล่ะมั้งที่เค้าเรียกว่าการสร้างลูกค้าที่อยากจะกลับมาใช้บริการสินค้า หรือบริการของเราบ่อยๆ และพร้อมจะบอกคนอื่่นให้ไปใช้บริการด้วย

    ผมนี่เคลิ่มเลย….กลับไปอีกแน่ๆ

    OLYMPUS DIGITAL CAMERA starbucks

  • ปลดล็อคศักยภาพด้วยการโคช

    คนส่วนใหญ่ชอบถามว่าเราจะช่วยพัฒนาศักยภาพของคนได้อย่างไร ทำไมบางคนถึงดูเหมือนจะทำได้ทุกอย่าง วิทยาศาสตร์มากมายที่ได้ยินได้ฟังต่างพยายามอธิบายเบื้องหลังของความสำเร็จ วันนี้เลยอย่างจะแบ่งปันเรื่องมิติของการพัฒนาศักยภาพ ด้วยการใช้โคช และฉลาดที่จะเลือกโคชเพื่อปลดล็อคความสามารถของเราที่ซ่อนอยู่

    โดยส่วนตัวมีโคชของตัวเองชื่อว่า Christopher Avery คนที่เขียนหนังสือที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่ง Team work is an individual skill และได้รับการปลดล็อคหลายอย่างในชีวิต (ย้ำในชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องงาน) บุคลิกของโคชที่ดีมีมากมายแต่อยากที่จะแบ่งปันสิ่งที่คิดออกในเวลานี้

    โคชที่ดีเหมือนกับคุณครู ทำทุกอย่างเหมือนกัน แต่ดูเหมือนมีไม้กายสิทธิ์ ที่สามารถทำให้ลูกศิษย์เปลี่ยนพฤติกรรมจากความตั้งใจภายในและสามารถที่จะต่อยอดไปเป็นผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์

    แน่นอนมีโคชมากมายที่ดีในโลกนี้ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวถ้าจะเลือกโคชด้วยหลักการดังต่อไปนี้

    1. หลีกเลี่ยงโคชที่พยายามทำให้ทุกคนรักและชอบ
    2. หาโคชที่กล้าพูดกับเราตรงๆไม่อ้อมค้อม เป็นคนที่น่าเคารพนับถือ
    3. โคชควรจะเป็นคนที่มีทิศทางชัดเจนว่าอยากเห็นอะไรในทุกๆวัน
    4. คนที่เป็นโคชต้องเข้าใจพื้นฐานของคน และ กล้าที่จะสอนเราในเรื่องเหล่านั้น
    5. โคชที่ดีต้องเคยล้มมาก่อนและสามารถที่จะพลิกจากวิกฤติเป็นโอกาสได้
  • แนวคิดพื้นฐาน การเขียนเทสเคส Unit Testing

    ความสุขของคนที่สร้างซอฟต์แวร์คือ การเห็นคนที่มาใช้ผลงานของเราแล้วได้ประโยชน์และมีความสุขที่จะใช้มันต่อไป

    ส่วนตัวเองเคยเป็นนักปั้นโค๊ดที่พอไปวัดไปวาได้ และ  feedback ลูกค้าส่วนหนึ่งบอกว่าชอบและตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาให้กับเค้าได้ แต่….พอใช้ไปซักระยะมักกลับมาพร้อมกับบอกว่า “ทำไมตรงนี้มันทำงานอย่างงั้น อย่างงี้”

    บางอันนี่ก็เป็นเรื่องของ UX บ้างที่ไม่สื่อความหมายชัดเจน ทำให้ใช้งานยาก

    บางอันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดว่าต้องการให้มันทำงานแบบนั้น (ใช่ครับ แม้แต่ลูกค้าเองก็พึ่งรู้)

    บางอันก็เป็นของแถมที่โปรแกรมเมอร์แถมให้ที่ไม่ใช่ทั้ง UX และ ฟีเจอร์ ของแถมที่ว่านี้คือ แมลง (Bug) นั่นเอง

    พอเจอบั๊กหัวหน้ามักบอกว่าให้ทำ Unit Testing เพื่อกันบั๊กไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ซึ่งถ้ามองผิวเผินดูเหมือนสมเหตุสมผล แต่ จริงๆแล้วถ้าคนที่ได้เขียน  Unit Testing ไปเรื่อยๆจะรู้ว่า การเขียน Unit Testing ไม่ใช่การหาบั๊ก หรือว่าป้องกันบั๊กทั้งนั้น (อย่าพึ่งงง)

    หากแต่มันคือการทำให้ Developer ได้มีโอกาสคิดถึงดีไซน์ของโค๊ดตัวเองตะหาก

    การทำ Unit Testing ความหมายที่แท้จริงคือการแบ่งโค๊ดให้ย่อยเป็นส่วนๆที่สามารถที่จะสร้างสภาวะแวดล้อมของส่วนย่อยๆนั้นให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการ เพื่อทดสอบ กระบวณการทำงานของโค๊ดส่วนย่อยๆนั้น

    ฉะนั้นการดีไซน์เทสเคสให้กับ Unit Testing เลยควรตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะย่อยโค๊ดของเราให้เป็นหน่วยย่อยที่สุดเพื่อให้เราเกิดความมั่นใจว่าโค๊ดของเราทำงานอย่างที่เราตั้งใจให้มันทำงาน โดยที่ไม่ต้องไปต่อ  Database, ฟังชั่นอื่น, และต้องสามารถรันได้รวดเร็วในเวลาไม่เกินวินาที (ใช่ครับ วิเดียวนี่แหล่ะ) ความผิดพลาดส่วนใหญ่คือคนมักสับสันระหว่าง Integration Test กับ Unit Test เลยพากันเขียน Unit Test Case แบบออกทะเล แล้วก็อ้างว่าเขียนแล้ว รันไม่ได้บ้างหล่ะ คิดยากบ้างล่ะ image

    ตัวอย่างเช่น

    MyFunction (x, y){

    ผลลัพธ์ = <Business Logic ที่ใช้ค่า>

    Return <ผลลัพธ์จาก Business Logic>

    }

    MyFunction อาจมี Unit เทสเคสง่ายๆดังนี้

    1.  MyFunction ได้รับ ค่าทั้ง  x และ  y  หรือเปล่า ถ้าได้ไม่ครบหรือว่าเกินผลลัพธ์เป็นยังไง

    2. ประเภทของ ค่า x, y เป็นไปอย่างที่เราคาดหวังไว้หรือเปล่าเช่น ถ้า มันเป็นตัวเลข เราได้ตั้งค่าสูงสุด หรือค่าตำ่สุดที่สามารถรับได้สำหรับงานของเราหรือเปล่า หรือ ถ้าเกิดว่าเป็น String หรือว่า Text เราได้กำหนดความยาวของ String ไว้หรือเปล่า

    3. ถ้าเกิดว่าเราใส่ค่าที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ โค๊ดเราได้มีฟ้องว่า ค่าผิดหรือเปล่า (หลายคนบอกว่าหลายๆภาษาได้ทำเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า error ที่เราควบคุมได้ย่อมดีกว่า error ที่เราควบคุมไม่ได้)

    4. แบ่งประเภทของข้อมูลที่ใช้ในการหาผลลัพธ์ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลทุกประเภทที่เข้ามาให้ผลลัพธ์อย่างที่เราต้องการ

    5. MyFunction ของเราได้ส่งค่าคืนอย่างที่เราตั้งใจหรือเปล่า

    6. ถ้า  MyFunction ต้องมีการ save  ข้อมูลลง   database  เราต้องมีการทำเทสโดยการจำลองสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมดเพื่อเราจะได้ ดักจับ ปัญหาให้ได้หมด (ฉะนั้นข้อนี้ไม่ควรจะต่อ  Database  โดยตรง เราจำเป็นต้อง mock หรือว่า fake ข้อมูลเพื่อจำลองสถานการณ์)

    7. เวลาเขียนต้องเขียนคลุมทั้ง Unhappy Path  และ Happy Path

    ….เป็นต้น

    ดังนั้นถ้าเรารู้ว่า การทำ Unit Testing คือการดีไซน์แล้ว เราก็จะรู้ว่าเราควรจะดีไซน์โค๊ดของเราให้เหมาะกับการใช้งานนั้นๆ ไม่กว้างเกินไป เพราะว่าถ้ากว้างเกินไปเราอาจต้องทำเทสเคสที่ไม่เกี่ยวข้องกับลูกค้าต้องการเลยก็เป็นได้ ฉะนั้น ความพอดีเป็นสิ่งสำคัญ

    โดยส่วนตัว ถ้าทีมไม่ได้เขียนเทสก่อนเขียนโค๊ด จะพยายามไม่บังคับให้ทีมทำให้ ครอบคลุม 100%  แต่ให้ทำเพิ่มทุกครั้งที่แตะโค๊ดส่วนนั้น (โดยเฉพาะโค๊ดเก่า)

    ข้อควรระวังที่สำคัญ เวลาทำ Unit Test อีกอย่างคือ อย่าทำ Unit Test  กับ Configurations

    โดยหลักการแล้ว ค่า configs ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ โค๊ด (ไม่อย่างนั้นเราจะแยกมันออกไปทำไม ห๊า) บางคนสนุกบอกว่าก็เขียนได้นี่นา แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การวางค่า  configs ไว้อีกที่เท่านั้นเอง (แล้วก็บ่นในใจว่า เรากำลังทำการทำสอบ copy and paste สำเร็จ)

    อยากรู้เพิ่มเติม ไปดู youtube ( ภาษาอังกฤษ)

     

     

  • 3 สาเหตุของความสำเร็จที่ล้ม เหลว

    1. ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต มากคนที่เรารู้จักเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาก และเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้นมักเต็มไปด้วยบาดแผลและบทเรียน และเมื่อได้ความสำเร็จนั้นมาสักพักก็ชะล่าใจ บางคนเริ่มไม่ฟังคนรอบข้างและในที่สุดเลยไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่เคยมีมา บางคนประสบความสำเร็จจากธุรกิจของตัวเองแล้วพอได้มีโอกาสไปทำงานในธุรกิจอื่นก็เผลอเอาวิธีการที่เคยใช้และคาดหวังผลลัพธ์เหมือน ส่วนใหญ่มักไปไม่รอด

    2. ได้รับความไว้วางใจมากเกินไป ภาพลวงตาของความสำเร็จส่วนหนึ่ง การเป็นคนมีชื่อเสียง บางรายอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่สิ่งหนึ่งที่น่ากลัวคือการที่คนอื่นให้ความไว้วางใจมากเกินไป จริงๆแล้วการได้รับความไว้วางใจนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่หากคนที่ได้รับความไว้วางใจเผลอลืมตัวว่าต้องคอยเตือนตัวเองให้ระแวดระวังว่าต้องตรวจสอบงานหรือหน้าที่นั้นเพิ่มเป็นอย่างน้อยสองเท่า โดยเฉพาะในเรื่องคล้ายๆเดิมที่เราอาจรู้สึกว่า เราไม่พลาดแน่นอน มักเป็นเหตุให้เราขุดหลุมฝังตัวเอง

    3. ไม่ได้ลงไปสัมผัสงานพื้นฐานของหน้าที่หรือธุรกิจของตัวเอง ถึงแม้ว่าหนังสือมากมายของการบริหารจัดการมักแนะนำเราว่า การทำงานให้มีประสิทธิภาพคือการมอบหมายงานให้ลูกน้องทำและเราต้องสามารถมองภาพรวม แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่ว่าเราจะสูงแค่ไหนเราต้องลงไปคลุกวงในกับน้องๆบ้าง เพราะไม่เพียงแต่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทีมงานมากขึ้น หลายครั้งก็สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆให้กับตัวเองในการพัฒนาภาพรวมได้

    ส่วนใหญ่แล้วถ้าเราสังเกตดีๆ เวลาที่เราจะได้เรียนรู้มากที่สุดคือเวลาที่เราต้องเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ และต้องพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งที่เราอาจไม่เข้าใจ หวังว่าประสบการณ์คงช่วยเตือนสติหลายๆคนที่อาจกำลังเผลอก้าวเข้าสู่ความสำเร็จที่ล้มเหลว

  • คุณเป็นกบแบบไหน

    วันนี้เป็นอีกอาทิตย์ที่ได้ไปโบสถ์ ส่วนหนึ่งของการไปโบสถ์คือการได้คิดถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น ทุกๆคนที่ได้พบเจอ โอกาสเรียนรู้จากคน เป็นของล้ำค่า

    เรื่องมีอยู่ว่า วันก่อนได้มีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มผู้นำองค์กรแห่งหนึ่งและได้คุยกันถึงแนวทางในการช่วยให้พี่ๆน้องๆในองค์กรแห่งนี้ก้าวไปสู่เวทีโลก ความคิดต่างๆพร่างพรูและได้แผนงานสำหรับทดลองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยเอาความสุขของคนในองค์กรเป็นที่ตั้ง

    เชื่อว่าในตลอดชีวิตของการทำงานหลายๆคนคงเคยได้ยิน ได้อ่านเรื่องราว เปรียบเปรยการทำงานโดยใช้กบเป็นตัวละครเพื่อให้เห็นภาพ เช่น อย่าเป็นกบอยู่ในกะลา คือ การทำงานที่อยู่ความคุ้นชินเดิมๆโดยที่ไม่ได้มองว่าโลกข้างนอกนั่นเค้าก้าวไปถึงไหนแล้ว ออกจากกะลาแล้วมาเปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเองและคนรอบข้าง

    หนึ่งในบทสนทนากับนักคิดที่มีวิสัยทัศน์แบบหาคนจับยาก ซึ่งในแต่ละครั้งที่ท่านนึ้พูดมักใช้คำง่ายๆที่ใครๆก็เข้าถึงได้ ด้วยความที่ส่วนตัวคลุกคลีกับการปฏิรูปมากจนหลายครั้งหลงใช้ภาษาที่อาจจะยากสำหรับคนทั่วไป เลยไปปรึกษาท่านและเล่าไอเดียของแผนงาน และอยากหาคำง่ายๆที่ใครๆก็เข้าใจ

    ในวงสนทนานั้นเริ่มต้นอย่างสนุกสนาน ปราศจากความเครียดโดยสิ้นเชิง คำต่างๆเริ่มไหลๆมา ซึ่งล้วนแต่ดีๆทั้งนั้น ท่านผู้นี้บังเอิญเดินมา ได้การบ้านไป หาย 15 นาที กลับมาพร้อมกับคำว่า

    “กบฉีกกะลา”

    ใครชอบหรือเปล่าไม่รู้แต่ผมชอบมากเพราะว่าเห็นภาพชัดมาก เราคุยกันซักพัก และได้ลงความเห็นว่าอันนี้แหล่ะ ใช้เป็นชื่อเรียกปฏิบัติการนี้ เหตุที่มันดีเพราะว่า

    1. กบที่จะฉีกกะลาได้นั้นต้องออกจากกะลาก่อน
    2. กบทั่วไปอาจพาตัวเองออกจากกะลาแล้วกลับเข้าไปได้ใหม่ เพราะว่ากะลายังอยู่ ทว่าการฉีกนั้นเป็นการทำลายกะลาไปอย่างถาวรกลับไปไม่ได้อีก
    3. การพาตัวเองออกจากกะลาเป็นเรื่องยาก แต่ว่าสิ่งที่ยากกว่าคือการช่วยพี่ๆน้องๆออกจากกะลาด้วย เพราะว่าเราทำงานด้วยกัน เราไปกันเป็นทีม ใช่ว่าทุกคนจะออกจากกะลาได้พร้อมๆกัน ดังนั้นจึงต้องช่วยเพื่อนด้วยการฉีกกะลาเพื่อนๆให้เห็นสิ่งที่เราเห็นด้วย
    4. กบฉีกกะลานั้นแสดงถึงความกล้าหาญ เพราะว่าในองค์กรใหญ่ การพูดความจริงด้วยความรักเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราอยากพาองค์กรของตัวเองไปสู่เวทีโลก เราต้องกล้าที่จะออกนอกกรอบ และพาเพื่อนๆเราออกมาด้วย
    5. การฉีกนั้นเจ็บปวดแต่ว่า ถ้าไม่เจ็บคงไม่จำ เหมือนกับภาษาฝรั่งว่า “no pain, no gain”

    เลยอยากชวนให้ทุกคนเป็นกบแบบใหม่ที่ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงตัวเองเท่านั้นแต่ เป็นกบที่พร้อมจะฉีกกะลาเพื่อพลิกตัวเอง ครอบครัว สังคม ประเทศ และโลกนี้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นตลอดเวลา

    20140406-222713.jpg

  • ฝาแฝดที่หลายคนมองข้าม (Innovation & Change are twins)

    innovation_change

    ประสบการณ์มากกว่า 15 ที่เป็นทั้งส่วนหนึ่งที่ได้รับผบกระทบของการเปลี่ยนแปลง ในองค์กร และในฐานะที่เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงในที่ต่างๆทำให้ตกผลึก ความคิดหลายๆอย่าง ซึ่งได้มีโอกาสถกกับพี่น้อง ทั้งที่เป็นคนทำงาน และคนที่เป็นซีอีโอ ประธานกรรมการ ในธุรกิจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเงิน โทรคมนาคม การเกษตร ธุรกิจขายปลีก และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในเวทีไทย และเวทีระดับโลก

    สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากๆจากการได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีประสบการณ์จริง คือ การที่ยิ่งทำมาก กลับทำให้รู้น้อยลง และฟังเยอะขึ้น (ฟังจริงๆ) และทำให้โอกาสในการปฏิรูปองค์กรนั้นเป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วย

    การปฏิรูปในองค์กรต้องมีการสนับสนุนในระดับผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์ตรงในหลายๆโอกาสทำให้ได้รู้ว่าการปฏิรูปมักถูกพูดถึงมากในห้องประชุมของผู้บริหารระดับสูงเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น และบ่อยครั้งทุกอย่างก็กลับไปทำเหมือนเดิมในไม่กี่เดือน

    ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่แค่ เปลี่ยนอย่างไร แต่หากหมายรวมถึง จะรักษาสภาวะใหม่ หรือที่เราเรียกว่าวัฒนธรรมใหม่ได้อย่างไรด้วย

    และถ้าเรามองเรื่องวัฒนธรรม คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะหยิบคำยอดฮิตที่ บรรดานักปฏิรูป เอ่ยถึงเสมอ ทั้งที่เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง (ซึ่งส่วนตัวเคยเข้าใจแบบผิวเผินเช่นกัน)

    Innovation ใน wikipedia ได้ให้ความหมายไว้ว่า

    นวัตกรรม หมายถึงการทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีใหม่ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กร ไม่ว่าการเปลี่ยนนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติการเปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคน หรือการพัฒนาต่อยอด ทั้งนี้ มักมีการแยกแยะความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างการประดิษฐ์คิดค้น ความคิดริเริ่ม และนวัตกรรม อันหมายถึงความคิดริเริ่มที่นำมาประยุกต์ใช้อย่างสัมฤทธิ์ผล (Mckeown, 2008) และในหลายสาขา เชื่อกันว่าการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นนวัตกรรมได้นั้น จะต้องมีความแปลกใหม่อย่างเห็นได้ชัด และไม่เป็นแค่เพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป็นต้นว่า ในด้านศิลปะ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐ ในเชิงเศรษฐศาสตร์นั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเพิ่มมูลค่า มูลค่าของลูกค้า หรือมูลค่าของผู้ผลิต เป้าหมายของนวัตกรรมคือการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อทำให้สิ่งต่างๆเกิดเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นวัตกรรมก่อให้ได้ผลิตผลเพิ่มขึ้น และเป็นที่มาสำคัญของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

    โดยส่วนตัวมองเรื่อง นวัตกรรม เป็นกลยุทธที่ผู้บริหารต้องเข้าใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติได้อย่างเกิดผลสูงสุด โดยสรุปมีทั้งหมด 3 รูปแบบ

    1. นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) หนึ่งในนวัตกรรมที่หลายๆองค์มักมองข้ามคือการพัฒนาวิธีการทำงานที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวณการในการตัดสินใจ หรือ วิธีการทำให้การออกสินค้านั้นง่ายขึ้น
    2. นวัตกรรมแบบ วิวัฒนาการ (Evolutionary) นวัตกรรมแบบนี้มักพูดถึงการมองหารูปแบบสินค้าแบบใหม่ ที่ดีกว่าเดิม เช่น การที่ Apple ออก iPhone ครั้งแรกที่ผนวกการฟังเพลงเข้าการสื่อสาร ในปี 2004 ไม่ใช่ของใหม่โดยสิ้นเชิงแต่หากเป็นพัฒนาการที่ก้าวล้ำ Apple ได้ลองและเกิดผลอย่างสูง ส่วนใหญ่นวัตกรรมแบบนี้มักเป็นผลลัพธ์ชัดเจนในผลประกอบการขององค์กร
    3. นวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง (Revolutionary) นวัตกรรมแบบนี้เป็นแบบก้าวกระโดด คือแทบไม่มีเค้าโครงของเดิมเหลืออยู่เลย เช่น บางบริษัทอาจเคยเป็นบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ แต่ผันตัวเองไม่อยู่ในธุรกิจยานยนต์ หรือแม้แต่การเปลี่ยน ค่านิยม ที่ไม่เคยทำมาก่อน การเปลี่ยนแปลงในระดับนี้นั้นส่วนใหญ่นั้นสร้างความตระหนกตกใจให้กับคนในองค์กรเป็นอย่างมาก แต่ว่าถ้าทำได้องค์กรจะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

    ดังนั้นหากองค์กรได้ต้องการที่จะนวัตกรรมใหม่ การปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะว่าไม่มีองค์กรที่ประสบความสำเร็จใดๆที่ไม่มีนวัตกรรม และไม่มีนวัตกรรมใดๆที่ไม่มีการปฏิรูปหรือการเปลี่ยนแปลง

     

     

  • An accident, a blessing?

    I got a Road Bike accident on the tenth of February, couldn’t move my left side of body for a week, admitted to the hospital. I still can’t lift my left arm well for another 4 weeks, still can’t take a deep breath because my rib is inflammatory.

    I have found I am extremely blessed by the accident. Because I discover:

    1. A true friendship from the people around me. They are not only call or visit me but cover my work while I recover.
    2. I have time to focus and uncover a missing pieces in my start up, coaching , and consultancy work.
    3. Knew that my bone is stronger than the car glasses because I manage to broke the car back windshield with my left shoulder without a single broken bone.
    4. I found time to be with my lovely twins and wife which remind me that they are the most important thing in my life.
    5. I lost my weigh because I just can’t eat a lot because my rib will move too much.
    6. I have a chance be a left arm disable for 4 weeks to appreciate the left arm more, I am a right hander and missing left arm is not an easy life.
    7. I don’t have to drive and appreciate my wife that she is a much better driver.
    8. Get the read more books on top of my regular 5 books a week.
    9. Have more time to reflect what I want in life and uncover the meaning of life in many aspect.
    10. I can keep thanking on and on because I feel that everything happens for my good…

    Above all, I just couldn’t find much to blame for what had happened…just couldn’t…thank God…I am a happy man.

    20140304-014255.jpg

  • ระเบียบวินัย คืออะไร

    ส่วนตัวเชื่อว่าระเบียบวินัยเป็นเรื่องของข้อตกลงระหว่างกลุ่มบุคคล และสถานะการณ์ เพื่อที่จะปรับความเป็นตัวตนให้เข้ากันให้มากที่สุด และเพื่อความอยู่รอด

    ในหมู่ทหาร ระเบียบวินัยที่สำคัญคือ การเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา เพราะว่าในสมรภูมิรบ วินาทีแต่ละวินาทีนั้นมีผลต่อความเป็นความตาย ฉะนั้นการฝืนระเบียบวินัยในค่ายทหาร โทษส่วนใหญ่จึงค่อนข้างหนักเพื่อให้คนสำนึกและเข้าใจความเป็นทหาร การที่ทหารคนหนึ่งมาประจำกองสายจึงหมายถึงการออกรบที่ไม่สามารถดำเนินการได้ หรือ ไม่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

    คราวนี้เรามามองดูการทำงานในองค์กรบริษัทต่างๆ ที่ต่างพากันมีระเบียบวินัยที่หลายๆคนมักมองว่าเหมือนกัน ในบริษัทเล็กๆหรือว่าบริษัทที่พึ่งตั้งใหม่ การตรงต่อเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะว่าไม่มีตัวสำรองเวลาที่คนๆหนึ่งไม่มา หรือ ไม่ตรงเวลา

    พอในองค์กรที่ใหญ่ขึ้น เวลาหรือวิธีการทำงานอาจค่อนข้างยืดหยุ่น แต่ว่าอยู่บนเงื่อนไขที่มีคนสามารถทำงานแทนเราได้ และ เราได้บอกกล่าวว่าทำไมเราถึงไม่อยู่ และ มีอะไรที่ต้องให้คนที่อยู่ต้องรับช่วง การสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากในองค์กรที่ใหญ่ขึ้น

    สำหรับคนที่อยากจะมีตารางชีวิตของตัวเองโดยที่ไม่ต้องอิงคนอื่น ก็อาจจะต้องลองหางานที่ทำคนเดียว ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น เช่นการเป็นนักลงทุน หรือ การที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับธุรกิจเช่าซื้อตึกหรือว่าที่ดิน หรือไม่ก็เข้าป่าทำมาหากินด้วยตัวเอง

    โดยส่วนตัวแล้ว นอกเหนือจากความเคารพในสิทธิของเพื่อนฝูงหรือว่ากลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าเราจะทำอะไร การมีระเบียบวินัย เป็นเรื่องสำคัญสำหรับตัวเราเอง เพราะมันหมายถึงการให้ความเคารพตัวเองว่าเราสามารถที่จะดูแลร่างกายจิตใจของเราได้

    แล้วเรามีวิธีการในการสร้างระเบียบวินัยให้กับตัวเองและกลุ่มอย่างไรบ้าง แบ่งปันกันได้

  • Why we need to engage with our people?

    I interviewed many leaders and staff about the conditions and drivers which engaged them at work. All reported that being trusted with a stretching task within demanding timescales and a clear understanding of the discretion available to them brought the best out in them.

    They said that engaged staff:

    • are more creative and more productive;

    • are constructively critical and challenging of the status quo and seek to initiate change;

    • make other people’s change their own;

    • will advocate the company, not as robots or brand messengers, but from their own critical perspective;

    • in short, enjoy their work and make it enjoyable for colleagues and external parties.

    These sound like the sort of people we would all like to have working for us. But is it possible to create the conditions which stimulate these positive outcomes? However, below are the questions that I got mostly from the people whom I provided consultancy.

    • Does employee engagement actually result in people feeling good about their work and their organisation? Does it deliver retention of the right people?

    • Most crucially, what are the specific causes or drivers of engagement?

    • Are these causes or drivers generic to all workplaces?

    • Can the causes or drivers of engagement be enhanced to increase engagement? In other words is it actionable?

    • Is this enhancement ethical or does this ‘social engineering’ simply achieve greater performance through manipulation?

    I hope to leave you with above questions and I will come back and answer them one by one.