สาเหตุของโรคจากอาคาร อาคารที่มีการระบายอากาศไม่ดี เช่น ใช้ระบบทำความเย็นและระบบระบายอากาศหมุนเวียนเพื่อประหยัดไฟฟ้า อาคารดังกล่าวมักปิดมิดชิด ไม่เปิดหน้าต่าง อากาศไม่ถ่ายเท ทำให้ภายในอาคารอบอวลไปด้วยสารมลพิษในอากาศหลายชนิด ได้แก่ สารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds: VOCs) โดยเฉพาะฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของกาวที่มักใช้กับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เช่น พาร์ทิเคิลบอร์ด ไม้อัด รวมถึงผ้าหุ้มเฟอร์นิเจอร์ พรม วัสดุฉนวน น้ำยาทำความสะอาด ยาฆ่าแมลง ตลอดจนสีทาบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน ฟอร์มาลดีไฮด์เป็นก๊าซไม่มีสี มีกลิ่นฉุน ถ้ามีอยู่ในอากาศมากกว่า 0.1 ppm (ส่วนในล้านส่วนของอากาศ) อาจทำให้แสบตา ระคายเคืองเยื่อจมูกและคอ คลื่นไส้ ไอ แน่นหน้าอก เป็นผื่นแพ้ องค์การอนามัยโลกได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าสารนี้เป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งในคนได้ ทั้งนี้มีการศึกษาพบว่า ร้อยละ 90 ของอาคารที่มีการตกแต่งห้องใหม่ ใช้เฟอร์นิเจอร์ใหม่มีปริมาณของฟอร์มาลดีไฮด์เกินมาตรฐาน หรือแม้แต่อาคารที่ใช้งานมานานแล้ว ฟอร์มาลดีไฮด์ก็ยังสามารถระเหยต่อเนื่องได้อีกนานหลายปี !!! นอกจากนี้ สารมลพิษที่พบได้ทั่วไปในอาคารที่เป็นสาเหตุของโรคจากอาคารยังประกอบไปด้วย
• ฝุ่นละอองและควันพิษ ทั้งจากภายนอกอาคารที่ฟุ้งกระจายและเล็ดลอดเข้าไปรวมทั้งฝุ่นภายในอาคารเองโดยเฉพาะในสำนักงานบริเวณเครื่องถ่ายเอกสาร จะมีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนปริมาณมาก ฝุ่นขนาดเล็กเหล่านี้สามารถเข้าไปสู่ระบบหายใจ ทำให้ระคายเคือง แสบจมูก ไอ จาม มีเสมหะ หรือมีการสะสมของฝุ่นในถุงลมปอด ทำให้สมรรถภาพการทำงานของปอดเสื่อมลง
• เชื้อรา ในอาคารที่อับทึบ หากไม่มีการดูแลรักษาระบบทำความเย็นและระบบระบายอากาศอย่างเหมาะสม จะก่อให้เกิดความชื้นในอากาศ ส่งผลให้สปอร์รามีการเจริญแพร่กระจายและสะสมในอาคารโดยเฉพาะห้องที่ปูพรมและเปิดเครื่องปรับอากาศทั้งวัน ความเย็นจะส่งผ่านไปยังพรมทำให้เกิดความชื้น เกิดเชื้อราหมักหมมใต้พรมทำให้เกิดโรค เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด โรคโพรงจมูกอักเสบ ระคายเคืองตา เป็นต้น
• เชื้อโรคและสารชีวภาพอื่น ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส มูลนก ละอองเกสร ขนสัตว์ ฯลฯ สารเหล่านี้มักปนเปื้อนและฟุ้งกระจายในห้อง นอกจากนี้ ยังมีเชื้อโรคที่แพร่จากคนที่พักอาศัยอยู่ในอาคาร เมื่อมีการไอหรือจามก็จะทำให้เชื้อโรคกระจายวนเวียนอยู่ในอาคาร ซึ่งหากมีคนอยู่แออัดมากเกินไปก็จะยิ่งมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมากขึ้น
• ไรฝุ่น มักอาศัยในที่ที่มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ พบมากตามที่นอน ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม พรม และผ้าม่าน ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ไรฝุ่น มักจะมีอาการคัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา แสบตา เคืองตา น้ำตาไหล คันคอ ไอ หรือหอบหืด และเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้
• ยาฆ่าแมลง ยากำจัดปลวก หนู แมลงสาบที่ใช้ในอาคารบ้านเรือน อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้ผู้ที่ได้รับสัมผัสมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ แน่นหน้าอก ตาพร่ามัว ม่านตาหรี่ น้ำลายและเหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วง
• ก๊าซและสารระเหย เช่น ก๊าซหุงต้ม และเบนซีน (Benzene) เป็นต้น ซึ่งเป็นสารที่ปล่อยออกมาระหว่างการสูบบุหรี่ การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ กาว สี และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ไอระเหยของเบนซีนทำให้เซื่องซึม เวียนศีรษะ และหมดสติ การสูดดมหรือสัมผัสกับเบนซีนเป็นเวลานานจะมีผลต่อไขกระดูกและทำให้เป็นโรคโลหิตจางและโรคมะเร็งโลหิตได้
• ฉนวนใยหิน ใยแก้ว ที่ใช้ทำวัสดุกันความร้อน ซึ่งอาจมีฝุ่นละอองก่อให้เกิดมะเร็งปอดและปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
• คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มาจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องถ่ายเอกสาร คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ อาจก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ กระวนกระวาย คลื่นไส้ วิงเวียน เมื่อยล้า เซื่องซึม และเกิดความผิดปกติสำหรับหญิงมีครรภ์และบุตรได้
Leave a Reply