Category: Leadership

  • 10 อย่างที่สร้างแรงดึงดูดให้คนอยากทำงานด้วย

    ทำงานกับคนมาก็เยอะพอควร พอดีมีโอกาสจะได้แบ่งปันให้พี่ๆน้องๆให้เป็นคนที่สามารถที่สร้างทีมได้ มีคนรัก คนฟัง คนหลง เลยพยายามนึกว่า จากความรู้ประสบการณ์ที่พอมี นึกออกได้ประมาณนี้ (ลำดับก่อนหลัง ไม่ได้บอกว่าอะไรสำคัญกว่า)

    1. เลิกพูดเรื่องตัวเอง คงจะดีถ้ามีแต่คนอยากรู้เรื่องเรา แต่ในความเป็นจริง ถ้าคนอื่นไม่ถามเราควรแบ่งเวทีสนทนาให้ทุกคนในวงเราด้วย เพราะว่าคนอื่นคงอยากให้เราสนใจเค้าบ้างเหมือนกัน

    2. สนใจคนอื่นอย่างแท้จริง อันนี้ยากมากโดยเฉพาะเวลาที่เรามีเรื่องที่เรามีความคิดเห็นไม่ตรงกับอีกฝ่าย เรามักแค่ได้ยิน แต่ไม่ได้ฟัง ประมาณเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา การที่เราไม่พยายามมองหาความหลากหลายโดยพยายามมองหาจุดแข็งของความคิดต่าง นอกจากทำให้คนไม่อยากทำงานกับเรา แถมอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการเรียนรู้ด้วย

    3. ยอมรับผิดบ้าง และขอโทษเป็น เมื่อวานซืนนั่งรถไฟฟ้า แอบได้ยินคนข้างๆเถียงกันในเรื่องความสมบูรณ์แบบของกันและกัน ต่างคนต่างไม่ยอมรับว่าตัวเองมีส่วนในปัญหาที่เกิดขึ้น บ่อยครั้งในชีวิตเรา ไม่จำเป็นต้องถูกตลอดก็ได้ คนเรามักให้โอกาสคนอื่นเสมอเวลาที่อีกฝ่ายยอมลดราวาศอกลงบ้าง และยอมขอโทษจากใจ

    4. มีความมั่นใจ แต่ว่าถ่อมตัวเป็น ความมั่นใจเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะมันทำให้เรามีความพยายามในสิ่งที่เรามั่นใจและสามารถที่จะเป็นผู้นำเพื่อไปสู่เส้นชัย แต่ความมั่นใจที่ดีไม่ใช่การไปกดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อตัวเองสูงขึ้น ร้อยทั้งร้อยคงไม่มีคนอยากทำงานกับคนที่ทำให้เรารู้สึกแย่ตลอดเวลาหรอก

    5. เห็นความสำคัญของคนอื่นเสมอ เชื้อยีสที่ดีจะทำให้แป้งนั่นฟูและน่าทาน ไม่มีใครทำการใหญ่คนเดียวได้ (งานเล็กหลายงานก็ไม่ได้) การพยายามหาจุดดีคนรอบข้างเสมอจะทำให้เราใช้ศักยภาพของเพื่อนมาทำให้งานบรรลุผลได้ดีและเร็วขึ้น และเราอาจจะได้เรียนรู้เรื่องดีๆที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้

    6. ไม่นินทาคนอื่น บางครั้งการนินทาลับหลังนี่เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงยาก ทำบ้างแต่เป็นการติเพื่อก่อ คงไม่ได้มีผลลบมากนัก แต่หากว่านินทาโดยที่ไม่พยายามไปคุยกับเจ้าของเรื่อง อาจพาทำให้คนอื่นรู้สึกว่า แล้วเราจะพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเค้าลับหลังมั้ยน้อ

    7. ให้เครดิตคนอื่นลับหลัง อันนี้ไม่ได้กำลังบอกว่าไม่ให้ชมคนอื่นซึ่งๆหน้า แต่ว่าการให้เครดิตคนอื่นลับหลังเป็นหลักการในการสร้างทีมที่เยี่ยมยอด ทีมโดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีคนที่บุคลิกเหมือนกัน ความแตกต่างนี่แหล่ะที่จะทำให้ทีมแข็งแกร่ง แต่บ่อยครั้งที่พอมีคนมาว่าเพื่อนร่วมงานให้ฟัง เราก็เออออด้วย โดยลืมพยายามมองหาข้อดีเพื่อให้คนในทีมสามารถทำงานร่วมกันได้ ไม่ได้บอกให้ไม่ใส่ใจข้อเสีย แต่ให้มองหาข้อดีแล้วอย่าลืมบอกคนข้างๆด้วยล่ะ

    8. ฟังมากกว่าพูด เคยเจอคนรู้ทุกอย่างมั้ย บ่องตรงๆ ตัวเองนี่แหล่ะเคยเป็น การรู้เยอะไม่ใช่เรื่องผิดแต่การไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้แสดงออกบ้าง มันทำให้คนอื่นไม่อยากคุยกับเรา หรืออยู่ในวงของเรา

    9. ยอมรับความเสี่ยงเพื่อคนอื่น ในการอยู่ร่วมกัน บางครั้งมีสถานการณ์ฉุกเฉินที่ควรต้องตัดสินใจ แต่บ่อยครั้งจะเจอว่าต้องรอต่อคิวไปบอกเจ้านายสิบต่อกว่าจะตัดสินใจได้ และหลายครั้งความล่าช้าในการตัดสินใจนี่แย่กว่าตัดสินใจผิดพลาดอีก ฉะนั้น การตัดสินใจไปแลยืดอกยอมรับผลที่ตามมาก็ทำให้คนอยากทำงานกับเราอีก แต่ได้โปรดอย่าตัดสินใจโดยลืมถามเพื่อนร่วมงานด้วย แต่ตัดสินใจและยอมรับผิด แต่ให้ความชอบกับทีม

    10. ยึดมั่นคำมั่นสัญญา อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไร ไม่มีใครอยากทำงานกับคนไม่รักษาสัญญา แต่ถ้าเราพลาดเราต้องไม่รอช้าที่จะรีบบอกขอโทษและพยายามไม่ผิดพลาดซ้ำอีก

  • เจ้านาย กับ ผู้นำ (manager vs leader)

    IMG_1543


    เจ้านาย
    เผาลูกน้องโดนไม่สนใจความรู้สึก โดยใช้อารมณ์ เพื่อให้ลูกน้องทำตามความต้องการตัวเอง

    ผู้นำจุดไฟในใจลูกทีมด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน และท้าทาย ทำให้ลูกน้องรักและเคารพจนทำงานถวายหัว

  • 3 สาเหตุของความสำเร็จที่ล้ม เหลว

    1. ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต มากคนที่เรารู้จักเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาก และเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้นมักเต็มไปด้วยบาดแผลและบทเรียน และเมื่อได้ความสำเร็จนั้นมาสักพักก็ชะล่าใจ บางคนเริ่มไม่ฟังคนรอบข้างและในที่สุดเลยไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่เคยมีมา บางคนประสบความสำเร็จจากธุรกิจของตัวเองแล้วพอได้มีโอกาสไปทำงานในธุรกิจอื่นก็เผลอเอาวิธีการที่เคยใช้และคาดหวังผลลัพธ์เหมือน ส่วนใหญ่มักไปไม่รอด

    2. ได้รับความไว้วางใจมากเกินไป ภาพลวงตาของความสำเร็จส่วนหนึ่ง การเป็นคนมีชื่อเสียง บางรายอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่สิ่งหนึ่งที่น่ากลัวคือการที่คนอื่นให้ความไว้วางใจมากเกินไป จริงๆแล้วการได้รับความไว้วางใจนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่หากคนที่ได้รับความไว้วางใจเผลอลืมตัวว่าต้องคอยเตือนตัวเองให้ระแวดระวังว่าต้องตรวจสอบงานหรือหน้าที่นั้นเพิ่มเป็นอย่างน้อยสองเท่า โดยเฉพาะในเรื่องคล้ายๆเดิมที่เราอาจรู้สึกว่า เราไม่พลาดแน่นอน มักเป็นเหตุให้เราขุดหลุมฝังตัวเอง

    3. ไม่ได้ลงไปสัมผัสงานพื้นฐานของหน้าที่หรือธุรกิจของตัวเอง ถึงแม้ว่าหนังสือมากมายของการบริหารจัดการมักแนะนำเราว่า การทำงานให้มีประสิทธิภาพคือการมอบหมายงานให้ลูกน้องทำและเราต้องสามารถมองภาพรวม แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่ว่าเราจะสูงแค่ไหนเราต้องลงไปคลุกวงในกับน้องๆบ้าง เพราะไม่เพียงแต่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทีมงานมากขึ้น หลายครั้งก็สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆให้กับตัวเองในการพัฒนาภาพรวมได้

    ส่วนใหญ่แล้วถ้าเราสังเกตดีๆ เวลาที่เราจะได้เรียนรู้มากที่สุดคือเวลาที่เราต้องเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ และต้องพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งที่เราอาจไม่เข้าใจ หวังว่าประสบการณ์คงช่วยเตือนสติหลายๆคนที่อาจกำลังเผลอก้าวเข้าสู่ความสำเร็จที่ล้มเหลว

  • คุณเป็นกบแบบไหน

    วันนี้เป็นอีกอาทิตย์ที่ได้ไปโบสถ์ ส่วนหนึ่งของการไปโบสถ์คือการได้คิดถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น ทุกๆคนที่ได้พบเจอ โอกาสเรียนรู้จากคน เป็นของล้ำค่า

    เรื่องมีอยู่ว่า วันก่อนได้มีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มผู้นำองค์กรแห่งหนึ่งและได้คุยกันถึงแนวทางในการช่วยให้พี่ๆน้องๆในองค์กรแห่งนี้ก้าวไปสู่เวทีโลก ความคิดต่างๆพร่างพรูและได้แผนงานสำหรับทดลองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยเอาความสุขของคนในองค์กรเป็นที่ตั้ง

    เชื่อว่าในตลอดชีวิตของการทำงานหลายๆคนคงเคยได้ยิน ได้อ่านเรื่องราว เปรียบเปรยการทำงานโดยใช้กบเป็นตัวละครเพื่อให้เห็นภาพ เช่น อย่าเป็นกบอยู่ในกะลา คือ การทำงานที่อยู่ความคุ้นชินเดิมๆโดยที่ไม่ได้มองว่าโลกข้างนอกนั่นเค้าก้าวไปถึงไหนแล้ว ออกจากกะลาแล้วมาเปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเองและคนรอบข้าง

    หนึ่งในบทสนทนากับนักคิดที่มีวิสัยทัศน์แบบหาคนจับยาก ซึ่งในแต่ละครั้งที่ท่านนึ้พูดมักใช้คำง่ายๆที่ใครๆก็เข้าถึงได้ ด้วยความที่ส่วนตัวคลุกคลีกับการปฏิรูปมากจนหลายครั้งหลงใช้ภาษาที่อาจจะยากสำหรับคนทั่วไป เลยไปปรึกษาท่านและเล่าไอเดียของแผนงาน และอยากหาคำง่ายๆที่ใครๆก็เข้าใจ

    ในวงสนทนานั้นเริ่มต้นอย่างสนุกสนาน ปราศจากความเครียดโดยสิ้นเชิง คำต่างๆเริ่มไหลๆมา ซึ่งล้วนแต่ดีๆทั้งนั้น ท่านผู้นี้บังเอิญเดินมา ได้การบ้านไป หาย 15 นาที กลับมาพร้อมกับคำว่า

    “กบฉีกกะลา”

    ใครชอบหรือเปล่าไม่รู้แต่ผมชอบมากเพราะว่าเห็นภาพชัดมาก เราคุยกันซักพัก และได้ลงความเห็นว่าอันนี้แหล่ะ ใช้เป็นชื่อเรียกปฏิบัติการนี้ เหตุที่มันดีเพราะว่า

    1. กบที่จะฉีกกะลาได้นั้นต้องออกจากกะลาก่อน
    2. กบทั่วไปอาจพาตัวเองออกจากกะลาแล้วกลับเข้าไปได้ใหม่ เพราะว่ากะลายังอยู่ ทว่าการฉีกนั้นเป็นการทำลายกะลาไปอย่างถาวรกลับไปไม่ได้อีก
    3. การพาตัวเองออกจากกะลาเป็นเรื่องยาก แต่ว่าสิ่งที่ยากกว่าคือการช่วยพี่ๆน้องๆออกจากกะลาด้วย เพราะว่าเราทำงานด้วยกัน เราไปกันเป็นทีม ใช่ว่าทุกคนจะออกจากกะลาได้พร้อมๆกัน ดังนั้นจึงต้องช่วยเพื่อนด้วยการฉีกกะลาเพื่อนๆให้เห็นสิ่งที่เราเห็นด้วย
    4. กบฉีกกะลานั้นแสดงถึงความกล้าหาญ เพราะว่าในองค์กรใหญ่ การพูดความจริงด้วยความรักเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราอยากพาองค์กรของตัวเองไปสู่เวทีโลก เราต้องกล้าที่จะออกนอกกรอบ และพาเพื่อนๆเราออกมาด้วย
    5. การฉีกนั้นเจ็บปวดแต่ว่า ถ้าไม่เจ็บคงไม่จำ เหมือนกับภาษาฝรั่งว่า “no pain, no gain”

    เลยอยากชวนให้ทุกคนเป็นกบแบบใหม่ที่ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงตัวเองเท่านั้นแต่ เป็นกบที่พร้อมจะฉีกกะลาเพื่อพลิกตัวเอง ครอบครัว สังคม ประเทศ และโลกนี้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นตลอดเวลา

    20140406-222713.jpg

  • ฝาแฝดที่หลายคนมองข้าม (Innovation & Change are twins)

    innovation_change

    ประสบการณ์มากกว่า 15 ที่เป็นทั้งส่วนหนึ่งที่ได้รับผบกระทบของการเปลี่ยนแปลง ในองค์กร และในฐานะที่เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงในที่ต่างๆทำให้ตกผลึก ความคิดหลายๆอย่าง ซึ่งได้มีโอกาสถกกับพี่น้อง ทั้งที่เป็นคนทำงาน และคนที่เป็นซีอีโอ ประธานกรรมการ ในธุรกิจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเงิน โทรคมนาคม การเกษตร ธุรกิจขายปลีก และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในเวทีไทย และเวทีระดับโลก

    สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากๆจากการได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีประสบการณ์จริง คือ การที่ยิ่งทำมาก กลับทำให้รู้น้อยลง และฟังเยอะขึ้น (ฟังจริงๆ) และทำให้โอกาสในการปฏิรูปองค์กรนั้นเป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วย

    การปฏิรูปในองค์กรต้องมีการสนับสนุนในระดับผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์ตรงในหลายๆโอกาสทำให้ได้รู้ว่าการปฏิรูปมักถูกพูดถึงมากในห้องประชุมของผู้บริหารระดับสูงเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น และบ่อยครั้งทุกอย่างก็กลับไปทำเหมือนเดิมในไม่กี่เดือน

    ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่แค่ เปลี่ยนอย่างไร แต่หากหมายรวมถึง จะรักษาสภาวะใหม่ หรือที่เราเรียกว่าวัฒนธรรมใหม่ได้อย่างไรด้วย

    และถ้าเรามองเรื่องวัฒนธรรม คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะหยิบคำยอดฮิตที่ บรรดานักปฏิรูป เอ่ยถึงเสมอ ทั้งที่เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง (ซึ่งส่วนตัวเคยเข้าใจแบบผิวเผินเช่นกัน)

    Innovation ใน wikipedia ได้ให้ความหมายไว้ว่า

    นวัตกรรม หมายถึงการทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีใหม่ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กร ไม่ว่าการเปลี่ยนนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติการเปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคน หรือการพัฒนาต่อยอด ทั้งนี้ มักมีการแยกแยะความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างการประดิษฐ์คิดค้น ความคิดริเริ่ม และนวัตกรรม อันหมายถึงความคิดริเริ่มที่นำมาประยุกต์ใช้อย่างสัมฤทธิ์ผล (Mckeown, 2008) และในหลายสาขา เชื่อกันว่าการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นนวัตกรรมได้นั้น จะต้องมีความแปลกใหม่อย่างเห็นได้ชัด และไม่เป็นแค่เพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป็นต้นว่า ในด้านศิลปะ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐ ในเชิงเศรษฐศาสตร์นั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเพิ่มมูลค่า มูลค่าของลูกค้า หรือมูลค่าของผู้ผลิต เป้าหมายของนวัตกรรมคือการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อทำให้สิ่งต่างๆเกิดเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นวัตกรรมก่อให้ได้ผลิตผลเพิ่มขึ้น และเป็นที่มาสำคัญของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

    โดยส่วนตัวมองเรื่อง นวัตกรรม เป็นกลยุทธที่ผู้บริหารต้องเข้าใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติได้อย่างเกิดผลสูงสุด โดยสรุปมีทั้งหมด 3 รูปแบบ

    1. นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) หนึ่งในนวัตกรรมที่หลายๆองค์มักมองข้ามคือการพัฒนาวิธีการทำงานที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวณการในการตัดสินใจ หรือ วิธีการทำให้การออกสินค้านั้นง่ายขึ้น
    2. นวัตกรรมแบบ วิวัฒนาการ (Evolutionary) นวัตกรรมแบบนี้มักพูดถึงการมองหารูปแบบสินค้าแบบใหม่ ที่ดีกว่าเดิม เช่น การที่ Apple ออก iPhone ครั้งแรกที่ผนวกการฟังเพลงเข้าการสื่อสาร ในปี 2004 ไม่ใช่ของใหม่โดยสิ้นเชิงแต่หากเป็นพัฒนาการที่ก้าวล้ำ Apple ได้ลองและเกิดผลอย่างสูง ส่วนใหญ่นวัตกรรมแบบนี้มักเป็นผลลัพธ์ชัดเจนในผลประกอบการขององค์กร
    3. นวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง (Revolutionary) นวัตกรรมแบบนี้เป็นแบบก้าวกระโดด คือแทบไม่มีเค้าโครงของเดิมเหลืออยู่เลย เช่น บางบริษัทอาจเคยเป็นบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ แต่ผันตัวเองไม่อยู่ในธุรกิจยานยนต์ หรือแม้แต่การเปลี่ยน ค่านิยม ที่ไม่เคยทำมาก่อน การเปลี่ยนแปลงในระดับนี้นั้นส่วนใหญ่นั้นสร้างความตระหนกตกใจให้กับคนในองค์กรเป็นอย่างมาก แต่ว่าถ้าทำได้องค์กรจะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

    ดังนั้นหากองค์กรได้ต้องการที่จะนวัตกรรมใหม่ การปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะว่าไม่มีองค์กรที่ประสบความสำเร็จใดๆที่ไม่มีนวัตกรรม และไม่มีนวัตกรรมใดๆที่ไม่มีการปฏิรูปหรือการเปลี่ยนแปลง

     

     

  • ระเบียบวินัย คืออะไร

    ส่วนตัวเชื่อว่าระเบียบวินัยเป็นเรื่องของข้อตกลงระหว่างกลุ่มบุคคล และสถานะการณ์ เพื่อที่จะปรับความเป็นตัวตนให้เข้ากันให้มากที่สุด และเพื่อความอยู่รอด

    ในหมู่ทหาร ระเบียบวินัยที่สำคัญคือ การเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา เพราะว่าในสมรภูมิรบ วินาทีแต่ละวินาทีนั้นมีผลต่อความเป็นความตาย ฉะนั้นการฝืนระเบียบวินัยในค่ายทหาร โทษส่วนใหญ่จึงค่อนข้างหนักเพื่อให้คนสำนึกและเข้าใจความเป็นทหาร การที่ทหารคนหนึ่งมาประจำกองสายจึงหมายถึงการออกรบที่ไม่สามารถดำเนินการได้ หรือ ไม่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

    คราวนี้เรามามองดูการทำงานในองค์กรบริษัทต่างๆ ที่ต่างพากันมีระเบียบวินัยที่หลายๆคนมักมองว่าเหมือนกัน ในบริษัทเล็กๆหรือว่าบริษัทที่พึ่งตั้งใหม่ การตรงต่อเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะว่าไม่มีตัวสำรองเวลาที่คนๆหนึ่งไม่มา หรือ ไม่ตรงเวลา

    พอในองค์กรที่ใหญ่ขึ้น เวลาหรือวิธีการทำงานอาจค่อนข้างยืดหยุ่น แต่ว่าอยู่บนเงื่อนไขที่มีคนสามารถทำงานแทนเราได้ และ เราได้บอกกล่าวว่าทำไมเราถึงไม่อยู่ และ มีอะไรที่ต้องให้คนที่อยู่ต้องรับช่วง การสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากในองค์กรที่ใหญ่ขึ้น

    สำหรับคนที่อยากจะมีตารางชีวิตของตัวเองโดยที่ไม่ต้องอิงคนอื่น ก็อาจจะต้องลองหางานที่ทำคนเดียว ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น เช่นการเป็นนักลงทุน หรือ การที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับธุรกิจเช่าซื้อตึกหรือว่าที่ดิน หรือไม่ก็เข้าป่าทำมาหากินด้วยตัวเอง

    โดยส่วนตัวแล้ว นอกเหนือจากความเคารพในสิทธิของเพื่อนฝูงหรือว่ากลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าเราจะทำอะไร การมีระเบียบวินัย เป็นเรื่องสำคัญสำหรับตัวเราเอง เพราะมันหมายถึงการให้ความเคารพตัวเองว่าเราสามารถที่จะดูแลร่างกายจิตใจของเราได้

    แล้วเรามีวิธีการในการสร้างระเบียบวินัยให้กับตัวเองและกลุ่มอย่างไรบ้าง แบ่งปันกันได้

  • Why we need to engage with our people?

    I interviewed many leaders and staff about the conditions and drivers which engaged them at work. All reported that being trusted with a stretching task within demanding timescales and a clear understanding of the discretion available to them brought the best out in them.

    They said that engaged staff:

    • are more creative and more productive;

    • are constructively critical and challenging of the status quo and seek to initiate change;

    • make other people’s change their own;

    • will advocate the company, not as robots or brand messengers, but from their own critical perspective;

    • in short, enjoy their work and make it enjoyable for colleagues and external parties.

    These sound like the sort of people we would all like to have working for us. But is it possible to create the conditions which stimulate these positive outcomes? However, below are the questions that I got mostly from the people whom I provided consultancy.

    • Does employee engagement actually result in people feeling good about their work and their organisation? Does it deliver retention of the right people?

    • Most crucially, what are the specific causes or drivers of engagement?

    • Are these causes or drivers generic to all workplaces?

    • Can the causes or drivers of engagement be enhanced to increase engagement? In other words is it actionable?

    • Is this enhancement ethical or does this ‘social engineering’ simply achieve greater performance through manipulation?

    I hope to leave you with above questions and I will come back and answer them one by one.

  • คิดให้รอบคอบ

    ความรอบคอบเป็นคุณสมบัติที่ดีถ้าใครจะมีไว้ แต่หากหลายครั้งหลายคนมักอ้างความรอบคอบด้วยการไม่ตัดสินใจ

    การไม่ดัดสินใจเป็นการขาดความรอบคอบอย่างหนึ่งคือการที่เราไม่สามารถคิดได้ว่าการที่เราไม่ตัดสินใจนั้นก่อให้เกิดปัญหาอะไรได้บ้าง

    ฉะนั้นอยากให้ถามตัวเองว่า เรากำลังไม่ตัดสินใจอะไรบางอย่างเพราะเรากำลังวางแผนงานเพื่อความรอบคอบ หรือเราแค่อ้างความรอบคอบเพื่อไม่ตัดสินใจ

    เพราะเมื่อเราไม่ตัดสินใจมันคือการตัดสินใจอย่างหนึ่ง

  • โน้มตัวไปข้างหน้า (Lean Forward)

    ลักษณะท่าทีบางอย่างที่คนส่วนใหญ่มักใช้เป็น สัญลักษณ์ของความก้าวหน้าคือการวิ่งไปข้างหน้า

    ถ้าเราหลายคนเคยเห็นนักกีฬาที่วิ่งแข่ง เรามักจะเห็นอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือก่อนออกตัวทุกคนต้องโน้มตัวไปข้างหน้า

    หลายคนอาจรู้สึกว่าการโน้มตัวไปข้างหน้านั้นไม่ยาก

    แต่จากประสบการณ์ การโน้มตัวไปข้างหน้านั้นมีผลอย่างมากต่อการออกตัวของนักวิ่ง

    ครั้งหนึ่งตอนสมัยมัธยม เคยไปคัดตัวเป็นนักวิ่งในโรงเรียน สุดท้ายก็ได้มีโอกาสวิ่ง เลยได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ในการฝึกแบบเป็นนักวิ่งช่วงสั้นๆ

    เชื่อหรือไม่ ว่าโคชของผมเนี่ยใช้เวลาฝึกฝนให้นักวิ่งทุกคนรู้จักการโน้มตัวไปข้างหน้าเป็นเวลานานอยู่หลายวันก่อนที่จะสอนทักษะวิ่งที่มีประสิทธิภาพ

    และเกร็ดเล็กๆที่ได้มาคือ

    1. ต้องมีสมาธิที่จะโน้มตัว ไม่ใช่สักแต่ว่ายืดขาขึ้นเพื่อให้ดูว่าโน้ม
    2. ต้องทิ่งน้ำหนักเกินครึ่งของร่างกายไปที่แขน
    3. ต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเป้าหมายด้วยความรู้สึกมุ่งมั่น
    4.  ต้องลองฝึกบ่ายจนหาความกว้างของตัว แขน ขา และจังหวะการดีดขาให้เหมาะกับเราที่สุด

    วันเวลาผ่านไป ทำให้เราได้เข้าใจว่าทักษะดังกล่าวใช้ในชีวิตด้านอื่นได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนงาน กำหนดเป้าหมาย ซึ่งพออธิบายได้ว่า

    1. การที่เราต้องทำอะไรซักอย่างเราต้องตั้งใจและมีสมาธิกับเป้าหมายของเราให้มาก เพราะว่า ถ้าใจวอกแวกแล้วคงยากที่จะออกตัวได้ดี
    2. เราจำเป็นต้องทิ่งน้ำหนักของความเป็นตัวเราไปในบริเวณที่จะทำให้เราออกตัวได้ง่ายที่สุด เพราะว่าการพยายามดึงรั้งตัวเองไว้ ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสนามแข่งขันใดๆ
    3. ต้องมีความมั่นใจในทิศทางที่เราจะไป และมุ่งมั่นว่าเราต้องบรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ
    4. การเตรียมตัวคือการฝึกฝน ตัวเองอยู่เสมอ และค้นหาวิธีการที่ดีที่เหมาะกับเรา ด้วยการฝึกฝน ลองผิด เพื่อ ได้ลองถูก

    วันนี้เราได้เริ่มโน้มตัวข้างหน้าอย่างถูกวิธีแล้วหรือยัง ?

  • คุณรู้จักเบื้องลึกตัวคุณดีแค่ไหน

    ภาพฝาผนังที่วิจิตรการ รถยนต์ดีไซล์ล้ำโฉบเฉี่ยว นวัตรกรรมต่างๆที่เรามีโอกาสได้สัมผัส หรือแม้แต่ คนโด่งดังมากมายในโลก ภาพวันที่เราเห็นนั้นดูสวนงาม น่ายกย่อง และ หลายคนก็อยากได้อยากมี อยากเป็น แต่จะมีซักกี่คนได้ลองมองไปลึกๆว่าคนเหล่านั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง

    การไขว่คว้าหาตัวอย่างเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะว่า การกระทำที่เป็นตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าล้านคำสอน หากแต่มุมมองความคิดที่แตกต่างนั้น แท้จริงแล้ว เราสามารถหาได้จากตัวเราเช่นกัน

    โดยส่วนตัวเชื่อว่า คนเรานั้นไม่มากก็น้อยมีอยู่สองมุม มุมที่เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยแสดงออก หรือ หลายคนบอกว่าเป็นเบื้องหลังของการกระทำของเรา สิ่งเหล่านี้ได้แก่ มุมมอง ความคิด ความมุ่งมั่น การวางแผน การตัดสินใจ หรือแม้แต่ จุดอ่อน จุดแข็ง ค่านิยม หรือคำจำกัดความของคำว่าประสบความสำเร็จของเรา และคงไม่แปลกเลยที่เบื้องลึกเหล่านี้ของเราจะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา วุฒิภาวะ ประสบการณ์ที่ได้รับมา

    อีกมุมมองที่เรามีนอกจาก มุมมองเบื้องหลัง คือ เบื้องหน้าของเรา เบื้องหน้าของเรานั้น ได้แก่ คำพูด การแสดงออก และความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนรอบตัวเรา

    เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเรานั้นมีความสัมพันธ์กันแบบชนิดที่แยกกันแทบไม่ออก จนหลายคนหลงคิดว่าเค้าไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมาก หากแต่ถ้าเราพยายามมองลงไปให้ลึกมากขึ้น เราจะพบว่า การที่จะมีชีวิตที่มีประสบความสำเร็จ เราจำเป็นต้องใช้เวลาพัฒนาเบื้องหน้า และเบื้องหลังให้พอๆกัน

    คนหลายที่ได้สัมผัสมา มีความปราถนาที่จะพัฒนารูปร่างภายนอก บุคลิก หรือถ้าเป็นคนที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ หัวหน้างาน ผู้นำชุมชน มักมองเห็นแต่ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย หรือแม้แต่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แต่หากแท้จริงแล้ว เราต้องใช้เวลาคิดใคร่ครวญตรึกตรองถึงความคิดเบื้องลึกของเราด้วย เช่น เราต้องการที่จะเป็นใคร ผู้นำในความคิดของเราเป็นอย่างไร และลึกๆของเราต้องการบรรลุวัตถุประสงค์อะไรในชีวิต ทำไมเราถึงอยากได้ และ เราคิดว่าเราจะได้มันมาได้อย่างไร คำถามสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้เราใช้เวลาไม่กี่นาทีกับตัวเองได้ เพื่อเราะจะได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของเรา

    Mobius-Strip