Category: Business

  • 4 สัญญาณที่บอกว่าเรามีลูกค้าที่จงรักภักดี

    ในโลกของการสรรสร้างผลิตภัณฑ์ หนี่งในปัจจัยที่จะทำให้คนสร้างนั้นมีความสุขคือ การได้เห็นลูกค้าชื่นชมกับสินค้าของเรา และอยากใช้สิ้นค้าเราไปเรื่อยๆ

    แต่มีซักกี่คนที่เข้าใจจริงว่า ลูกค้าที่เค้าเรียกว่าลูกค้าที่จงรักภักดีคืออะไร และเราจะสร้างลูกค้าเหล่านี้ได้อย่างไร สัญญาณเหล่านี้อาจทำให้เราได้ความคิดไปต่อยอดบ้าง

    1. ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าเราตอบโจทย์ชีวิตของเค้าได้ ในโลกนี้มีสินค้ามากมายที่ไม่ตอบโจทย์ แต่ก็มีคนใช้ อาจเป็นเพราะว่า ไม่มีทางเลือก แต่การสร้างลูกค้าที่แท้จริงคือการตอบโจทย์ชีวิตของลูกค้าเรา ไม่ว่าจะทำให้ชีวิตเค้ามีเวลาเยอะขึ้น ได้เจอเพื่อนง่ายขึ้น มีรายได้เยอะขึ้น มีความสุขในการใช้ชีวิต และอื่นๆ
    2. ลูกค้าพร้อมจะบอกเราต่อหน้าว่าสินค้าเรามันห่วยอย่างไร ถ้าคนไม่รักกันจริงเค้าคงไม่บอกว่าเค้าไม่ชอบอะไร และ อาจจะพยายามหนีไปให้ไวที่สุดเพื่อที่จะหาสิ่งที่ดีกว่าเสมอ หากแต่การมีลูกค้าที่กล้าบอกว่าเราไม่ดีอย่างไร กลับการเป็สัญญาณที่บ่งชี้ถึงการสร้าง ความจงรักภักดีให้มีต่อลูกค้าเรา
    3. ลูกค้าพร้อมจะบอกต่ออย่างเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติของคนเลย เวลาที่เจออะไรที่ดีมักอยากจะบอกคนใกล้ตัว สังคมรอบด้าน เพราะว่าการบอกต่อคือลูกค้าเหล่านี้ต้องเคยใช้สินค้าเรามาจนเข้าใจถึงแก่นว่าลูกค้าคนอื่นอยากจะได้อะไรด้วย วันนี้เราได้บอกกล่าวถึง แนวคิดในการสร้างสินค้าของเราหรือไม่
    4. ลูกค้ายังคงใช้สินค้าเรา แม้ว่าจะมีสินค้าอื่นที่ดีกว่า และราคาดีกว่า เราหลายคนคงเคยตกหลุมความเชื่อที่ว่าลูกค้าที่ใช้สินค้าเราซ้ำๆคือคนที่มีความจงรักภักดีต่อสินค้าเรา หากแต่แท้จริงแล้ว ลูกค้าที่รักเราจริง ส่วนใหญ่จะอยู่กับเรา ไม่ใช่พอเจออะไรที่ดีพอๆกันและราคาเท่าไหร่ ก็เผ่นไปใช้สิ้นค้าเหล่านั้นหมด
  • 22 Nov 2013 @TPSE Talk: Practicalities of Supplier and Vendor Management: Avoiding Pitfalls

    logo_tpseconf

    22 November 2013 @Software Park Thailand, I will share about the supplier and vendor management. See more info at http://www.tpseconf.org…here’s some excerpt of the session

    It’s one fine evening, sipping tea with a bunch of sourcing executive, general managers, and sales. A relaxed and friendly conversation about the latest vendors and a number suppliers that may not deliver what we expected.

    Heck, it’s painful to see our familiar face under deliver and affecting the business so badly. The conversation was so alive that the solution is actually arisen in the conversation. I put in some notes and dig the world to find the practicalities of avoiding pitfall for Supplier and Vendor management.

    You will hear rules of thumb on selecting the right vendors and suppliers. You may have a chance to share your questions that give me more homework to find you the solution. It’s going to be open and friendly talk as there is no book that talk about it well enough and there will never be.

    See you all soon!

  • Start-up with No money, No knowledge, No plan

    One of the an interesting speech by Alibaba Founder, Jack Ma, tells a story to Stanford grads that his philosophy that made him this far is

    1. No money, with only 50,000 RMB (250,000 THB) when he set out the start-up. Unlike many other family-rich-start-up, which they have lots of money to spend. Having no money gave him a chance to be creative on how to spend the money wisely.

    2. No knowledge about technology, Jack Ma never write a single line of code, and he takes it as an advantage because he now can test the system like the consumer.

    3. No plan, he was being agile in his way to tackle things because he hardly thought the company would come this far. The key to success is the adaptive leadership that he used along the road of start-up.

    Of course, his company now have all three things but the core values is still the same. The company has more money but it’s being spent carefully. Alibaba also have people who do technology driven but they all will be based on the clear vision from business. He still has no plan as a CEO but the planning at the operation level is still needed. Agility is what make Alibaba success.

     

     

  • วิธีสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใครๆก็อยากใช้ และบอกต่อ

    นอกเหนือจากผู้อำนวยการโครงการนาซ่า ที่จะมาแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการที่ส่งยานสำรวจดาวอังคาร ที่ส่วนตัวอยากรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เคล็ดลับความสำเร็จ

    หนี่งในหัวข้อที่มีโอกาสได้รับเกียรติให้ไปแบ่งปันในงาน Thailand Practical Software Engineering ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 2ๅ-22 พฤศจิกายน 2556 (ลงทะเบียนฟรี)

    เราจะมาพูดคุย แบ่งปัน ว่าทำไมหลายครั้งเราเห็นผู้นำที่สุดยอด เป็นที่ยอมรับของน้องๆ และหลายคนที่เรารู้จักก็ผลิตงานแบบอไจล์ กล่าวคือ ผลิตงานออกมาได้ทุก 2-4 สัปดาห์ ออกสู่ตลาด ยังไม่พอทีมเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่ดีที่สุดที่มีในตลาด หากแต่ว่า หลายครั้งเรากลับเห็นว่า ลูกค้าไม่เล่นด้วย กับทีมที่สร้างผลิตภัณฑ์เหล่านี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะตอบว่าทำไม เพราะหลายครั้งเรามักคิดว่า ทีมที่ทำงานได้ดีจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าอยากใช้ และอุดหนุน หรือแม้แต่บอกต่อ  หากแต่จากประสบการณ์จริง ทีมที่ดีนั้นสำคัญ แต่ก็มีวิธีการที่เราสามารถเอาไปใช้ได้จริงที่ได้ลองปฎิบัติมาแล้ว ล้ม ลุก คลุก คลาน แล้วกลับมาโดดเด่นในตลาดอีกครั้ง

    เราจะมาคุยกันว่า การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง และเราจะประยุกต์วิธีการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เรามีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร เรื่องจริงที่จะได้เห็นหลักการคิด จากผลงานจริงที่มีอยู่ในท้องตลาด ที่ได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่ใครๆก็พากันตบเท้าเข้าไปใช้บริการแบบเนืองแน่น ทุกๆวินาที

    รับรองหัวข้อนี้สนุกแน่!

  • คำถามที่สำคัญ ทำไม Why…

    เราหลายๆคนอาจเคยอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออกว่า เพราะอะไรงานที่เราทำออกมาถึงขายไม่ได้ หรือไม่มีคนสนใจ ทั้งๆที่เราทำสิ่งที่ดี ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ดีไซน์ชั้นยอด

    จากการพูดคุยและประสบการณ์ตรงทำให้ได้เจอสาเหตุซึ่งเป็นเหมือนเส้นผมบังตา

    ทำไม คำถามง่ายๆที่เราลืม เพราะเรามัวแต่ไปคิดว่าเราจะทำอะไร โดยลืมไปทำไมเราถึงทำสิ่งนั้น และทำไปเพื่ออะไร สินค้าต่างๆที่ทำออกมาต้องตอบโจทย์ของลูกค้า และบ่อยครั้งเหลือเกินในการผลิตซอฟต์แวร์ ที่ไม่มีคนสนใจหรือ ว่าไม่อยากใช้ก็เกิดจาก การทีทีมไม่ได้คิดว่าทำไมเราถึงทำสิ่งที่เราทำ ฟังดูงงๆ เพราะว่าการตั้งคำถามผิด ต่อให้เจอคำตอบที่ถูกก็ผิดอยู่ดี

    งงมั้ยครับ ถ้างงให้ถามตัวเองว่า ทำไม

  • กลุ่มคนทำงาน กับ ทีมงาน สองสิ่งที่แตกต่าง

    ผมเชื่อเราเคยเป็นหนึ่งในคนทำงานที่เข้าใจว่าการที่คนมาอยู่รวมกลุ่มกัน ทำอะไรร่วมกันซักอย่างเพื่อองค์กร หรือเพื่อวัตถุประสงค์ เป็นการทำงานที่เรียกว่า  “ทีม” แต่จากประสบการณ์ตรงและจากผู้ไหญ่ที่เราได้มีโอกาสทำงานด้วยทำให้ผมเองเปลี่ยนมุมมอง ว่าทำไมบางครั้งเราถึงมีความรู้สึกดีลึกๆในการที่ได้อยู่ร่วมทีมหนึ่งมากกว่าอีกทีมหนึ่ง มองย้อนกลับไปทำเรารู้ว่าแท้จริงแล้วเราได้รับเกียรติให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมเพียงบางทีมเท่านั้น นั่งใคร่ครวญว่า อะไรน่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำงานเป็นทีมที่แท้จริง และเราจะช่วยให้เราเป็นทีมได้อย่างไร

    1. ทีมงานที่ทำงานร่วมกันต้องมีข้อตกลงที่ลงลึกถึงความรากเหง้าของความรู้สึกร่วมกัน เราหลายคนอาจเคยทำงานในทีมที่ มักเรียกตัวเองว่ามืออาชีพ แต่มักปล่อยให้เพื่อนร่วมงานคาดเดาว่าข้อตกลงในการทำงานขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน พอมีปัญหาก็อ้างว่าคนนั้นคนนี้ ไม่มืออาชีพ ตัวอย่างข้อตกลงง่ายก็คือ ทีมเราจะเริ่มทำงานร่วมกันเวลาไหน หลายคนอาจบอกว่าทำไมไม่ทำตามกฏและข้อตกลงทางสังคม หรือมาตรฐานขององค์กร จากประสบการณ์ตรงเวลาที่ดีที่สุดของแต่ละทีมไม่เหมือนกัน และหลายครั้งองค์กรก็ยืดหยุ่นมากพอถ้าเป็นข้อตกลงของทีมที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อองค์กรจนมากเกินไป หากข้อตกลงนั้นทำให้ทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    2. ทีมงานต้องอินกับเป้าหมายร่วมกัน ส่วนหนึ่งของเป้าหมายอาจจะมาจากองค์กร ธุรกิจ สาระสำคัญคือการมองเห็นภาพชัดเจนว่าทีมเรากำลังจะไปทางไหน ผู้นำในทีมเป็นส่วนสำคัญในการที่จะสามารถวาดภาพในหัวของทุกคนให้มีภาพเดียวกันได้ มีซีอีโอท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า ถ้าเราบอกให้ทุกคนวาดช้าง ช้างของแต่ละคนอาจมีลักษณะคล้ายกัน สีแตกต่างกัน จะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะสามารถวาดช้างให้ทีมเห็น ทีมจะได้ไม่ต้องเดาว่าช้างที่ว่าจะเป็นเช่นไร

    3. ทีมที่แข็งเรงคือทีมที่ทะเลาะกันซึ่งๆหน้า การนินทาลับหลัง ตึความคำพูดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การที่จะเป็นทีมที่ดีคือการที่เรากล้าที่จะพูดบางอย่างที่เราอาจไม่เข้าใจ ไม่ชอบใจตรงๆด้วยความรัก ใช่ครับ ความรัก ถ้าเรารักเพื่อนเรามากพอ เราจะกล้าบอกในสิ่งที่เราไม่ชอบ เพราะว่าเราอยากเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนของเรา

    4. ความเชื่อใจเป็นองค์ประกอบทึ่ขาดไม่ได้ ความเชื่อใจนั้นเป็นคำฟุ่มเฟือยที่เรามักใช้ในการของความเห็นใจจากคนอื่น แท้จริงแล้วการที่เราจะได้อะไรนั้น เราต้องให้คนอื่นก่อน ครับการให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นของหายากที่ได้มายาก และเสียไปง่ายมาก ทีมที่ดีคือ การที่คนในทีมรู้ว่าเราจะให้ความไว้ใจกับเพื่อนในทีมอย่างไร และรู้ว่าจะรักษาความเชื่อใจที่คนอี่นมีให้เราอย่างไร

    5. การมองข้ามข้อจำกัดบางอย่างของเพื่อนและมองหาข้อดี(ที่มีอยู่จริง)ของทีมงาน ไม่มีใครสมบุรณ์แบบ แม้แต่ตัวเราเอง แต่หลายครั้งเรามักมองหาความสมบูรณ์แบบจากคนรอบตัวเรา ทีมที่แท้จริงคือการที่เรายอมรับว่าเราไม่สมบูรณ์และยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้นอย่างเปิดเผย และนั่นก็หมายถึงการที่เรายอมรับความเป็นตัวของตัวเองของผู้อื่นด้วย เราอาจไม่ต้องรักทุกๆมุมของเพื่อนเรา แต่เราน่าจะสามารถที่จะมองข้ามไปและไปโฟกัสที่จุดเด่นของเพื่อนเรา

    6. ทีมที่ดีไม่ต้องมีเจ้านาย ผมไม่ได้กำลังบอกว่าการมีเจ้านายเป็นเรื่องไม่ดี รูปแบบองค์กรนั้นไม่สำคัญเท่ากับการสร้างให้ทุกคนมีความเป็นผู้นำเพื่อให้มีความสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา เพราะทีมที่ดีนั้นหากมีภาพที่ชัดเจนว่าจะไปทางไหน เจ้านายแทบจะไม่ต้องสั่งให้ลูกน้องในทีมว่าต้องทำอะไร สิ่งที่เจ้านายต้องบอกก็คืออะไรที่ต้องการ และทำไมถึงสำคัญ หลายต่อหลายครั้งผมได้รับความแปลกใจในความคิดสร้างสรรค์ที่ทีมทำให้อย่างไม่น่าเชื่อ

    7. ทีมที่ดีต้องมีผลงานที่ทุกคนมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งจริง สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ทีมทีีีีดีต้องสามารถสร้างผลงานออกมาได้อยู่เสมอๆ ทีมอาจมีคนที่เก่งมากในเรื่องบางเรื่อง แต่ทีมที่ดีต้องสามารถดึงศักยภาพของทุกคนออกให้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานให้มากที่สุด ทีมทีดีจะไม่มีแค่พระเอกที่รู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่สำคัญที่สุดในการผลิตผลงาน เพราะการรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของของผลงานเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนในทีมให้สิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองให้ทีมงาน

    ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครมีสูตรสำเร็จที่จะสร้างกลุ่มคนทำงานให้เป็นทีมอย่างแท้จริง เพราะผมเชื่อว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่มากกว่าความสามารถ บุคลิกภาพ ความหลากหลาย และองค์กร ผมเชื่อว่าเคมี ดีเอ็นเอ คนบนฟ้า มีส่วนอย่างมากในการพาให้เราได้เจอกลุ่มคนทำงานที่ ณ จุดหนึ่งเราสามารถเอาไปอวดกับคนอื่นได้ว่า เราเคยเป็นส่วนหนึ่งของทีม

    แต่ไม่ว่าปัจจุบันของเราจะอยู่ในกลุ่มคนที่ทำงานร่วมกัน หรือ ทีมงาน อยากให้รู้ว่าองค์ประกอบสำคัญของการสร้างทีม ไม่ใช่การมองหาทีมที่เราจะทำงานด้วย แต่หากเป็นการทำตัวให้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ทุกๆกลุ่มที่เราทำงานด้วยเข้าใกล้คำว่าทีมมากที่สุด และเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อพัฒนาตัวเองให้เป็นเชื้อของทีมที่สามารถมีอิทธิพลต่อทุกคนที่มีโอกาสได้ทำงานกับเรา

    “วันนี้เราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกลุ่มคนทำงาน หรือ ทีมงานที่แท้จริง ?” หนึ่งนาทีที่เราคิดอาจทำให้อีกหมื่น แสน หรือว่าล้านนาทีในอนาคตมีความหมายมากขึ้น

    cogs-and-gears

  • Are you looking for product grand opening?

    I used to be one of those people who was looking for grand opening of the product. Many big marketing campaign were rolled out, huge secret campaign whereas only a selected people were informed. It felt so good to be a part of those days.

    It turned out that none of them was a breakthrough (at least for the majority of the customers)…Why? In my opinion, I think one of the reason, besides standard business reason such as time-to-market, competitor, etc,  was the illusion across the team that they would know what customer wanted without actually release often to get the feedback. Product team was too proud that they had been developed product for the industry over 20 years and they had nailed the right features for the customers, the marketing was so professional that they thought their campaign would just blow customer away, the development team was thinking that they were the best geek on the planet…(the list go on and on)

    Lots of casualties, people quit, executives were fired. Though it was the failure, it is one of the most valuable experiences. I was happened to be one of those people who made it through the turbulence and witnessed the recovery. It was a bold move to overhaul the way team was working, it took a great leadership from the new leader to marketing  “an Agile way” Philosophy. Many small changes were implemented to formulate the right team structure, requirement specification was scraped and user stories was being used with better acceptance criteria. Most people were switching to the smaller release of product rather than a big release. The product started sharing the vision of how the new product would look like as well as the philosophy of how the product should be built. Leaders started blogging and get the feedback from the community. Ultimately, the platform was formed and it started to be accepted by the market. The new normal for the team was “Agile is making the team fail faster”, yes, the release often pruned out the ugly so the team spent time on the right features.

    Was it purely because of being Agile? I don’t think so but I know that Agile is a good starting point for the changes.

    Are you still looking for grand opening?

    Clipart Illustration of a Bunch Of Floating Party Balloons With

  • เค้กโตขึ้นกินอิ่มทุกคน

    หลายวันก่อนมีโอกาสได้นั่งคุยกับ ซีอีโอ สองคน หนึ่งในหลายเรื่องที่เราคุยกันคือเราจะร่วมมือกันทำงานอย่างไร ผมเลยได้มีโอกาสแบ่งปันความรู้สึกในการทำธุรกิจว่า การเพิ่มขนาดเค้กนั้นสำคัญกว่าการซอยเค้ก สิ่งที่ผมเชื่อเสมอก็คือในโลกนี้มีความมั่งคั่งเพียงพอให้ทุกคนได้ แต่ว่าหลายครั้งเราคิดแต่ว่าเราจะได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มได้อย่างไร หลากหลายทฤษฏีที่พูดถึงการพัฒนาสินค้ากับตลาดที่แตกต่างกัน เช่น

    Red Ocean, ตลาดเลื่อดที่การได้มาซึ่งชัยชนะคือการพ่ายแพ้ และเสียผลประโยชน์ของฝั่งตรงข้าม หรือคู่แข่ง เหนื่อยตลอดเวลา

    Blue Ocean, ตลาดใหม่ที่ยังไม่มีคนเข้าไปย่ำกราย ตลาดนี้เป็นตลาดที่หลายคนรู้จักกันดีเช่น Apple พยายามทำโทรศัพท์แนวใหม่ที่ไม่เหมือนใครได้กำไรไปเป็นกอบเป็นกำ แต่นั่นแหล่ะครับ ไม่นาน Sumsung, Google ก็กระโดดมาทำด้วย เหนื่่อยกันหมด

    White Ocean, อีกรูปแบบในการเข้าทำการตลาดโดยนึกถึงการตอบแทนสังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งตอนนี้บริษัทต่างก็หันมาทำ CSR กันมากขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม คาดหวังเพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าเราไม่ได้เพียงแต่ทำสินค้าเท่านั้นนะ แต่ยังตอบแทนสังคม คืนกำไรสู่สังคมด้วย

    ส่วนตัวของผมเองผมว่า ทะเลสีขาวนี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำอยู่แล้ว และสิ่งที่ผมคิดมากกว่า ทะเลสีแดง ทะเลสีขาว คือทำไมเราถึงไม่ขยายขอบเขตของสินค้าไปในอากาศ ดินแดนใหม่ๆและพาคู่แข่งคนเดิมเราไปด้วย ไปช่วยกันสร้างความเจริญ สร้างผลกำไรที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

    post_largest_cake_01_front