Tag: #บล็อกกันวันละหน

  • สร้างผู้นำหญิง

    โดยส่วนตัว มักมีความสุขที่ได้มีโอกาสได้สร้างสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมเพื่อสร้างภาวะผู้นำให้กับ หลากหลายกลุ่มงาน บริษัท ห้างร้าน เพื่่อให้คนที่อยู่นั้นมีความภาคภูมิใจต่องานที่ทำ และโดยส่วนมากผลงานก็จะออกมาได้ผลดียอดเยี่ยมเสมอ

    แต่สิ่งที่่ทำให้มีความสุขมากกว่าคือการสร้างภาวะผู้นำ ให้ผู้หญิงได้มีโอกาสทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่ามีแต่ผู้ชายทำได้ (ผมเชื่อว่าในเอเชีย กระแสนี้ยังแรงมาก) จากประสบการณ์ส่วนตัว วิธีการสร้างภาวะผู้นำให้ผู้หญิง ไม่ได้แตกต่างจากผู้ชายแต่อย่างใด และบ่อยครั้งกลับง่ายกว่าด้วยซ้ำไป มาดูกันว่าทำไมผมจึงคิดอย่างนั้น

    1. ผู้หญิงเป็นคนเข้มแข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ งานวิจัยมากมายที่เรามักได้ยินต่างๆนานา ไม่ว่าจะเกิดสถานะการณ์เลวร้าย ถูกทำร้าย หรืออะไรก็ตาม เรามักพบว่าเพศที่ดูเหมือนบอบบางและน่าถนุถนอม มักจะเป็นคนที่สามารถเอาชีวิตรอดได้เสมอ
    2. ต่อมความเชื่อของผู้หญิงนั้นละเอียดอ่อน ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญเมื่อถึงภาวะคับขัน และการยึดมั่นต่อเป้าหมาย รวมถึงการส่งต่อความเชื่อที่มีต่องานของผู้หญิงนั้นสัมผัสจิตใจผู้คนได้มาก การได้มีโอกาสได้ฟังผู้นำหญิงหลายคนในโลกกล่าวสุนทรพจน์ แล้วได้แรงบันดาลใจมากกว่า
    3. การแสดงออกถึงความรักของผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องง่าย หนึ่งในคุณลักษณะผู้นำที่ดีคือสามารถเข้าถึงความรู้สึกของคนในทีม และ สร้างความเชื่อโยงระหว่างตนเองกับคนอื่นได้ดี คงไม่ผิดที่จะบอกว่า ผู้หญิงแสดงออกด้วยความรัก เป็นเรื่องง่ายมาก และความรักที่บริสุทธิ์นี่แหล่ะที่ทำให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    4. ความละเอียด รอบคอบ อย่างไม่น่าเชื่อ  การที่ผู้หญิงต้องดูแลตัวเองมากกว่าผู้ชายนั้นเป็นสิ่งผลักดันให้ผู้หญิงทีทักษะในการตรวจสอบความถูกต้องของงาน สิ่งแวดล้อม หรือคู่แข่งได้อย่างสวยงาม ทั้งนี้รวมถึงการสร้างทีมด้วย
    5. ความซื้อสัตย์ และระเบียบวินัย ย้อนกลับไปดูประวิติศาสตร์ได้เลย ในเรื่องของการทุจริตที่มีในโลก ส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นผู้นำ ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่ ความซื่อสัตย์ดูเหมือนเป็นจุดที่ผู้ชายนั้นต้องเลียนแบบ

    คงไม่ได้กำลังบอกว่าเลิกให้โอกาสผู้ชายเป็นผู้นำ แต่อยากให้สังคมเริ่มมาให้ความสำคัญ และกำลังใจ กับผู้หญิงให้ได้มีโอกาสได้เป็นผู้นำเพื่อทำงานที่มีคุณภาพ และทำให้ทีมมีความสุขด้วย (โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ) เช่นเดียวกันอยากให้ผู้หญิงกล้าที่ก้าวออกมาเวลาที่มีความท้าทายเกิดขึ้นรอบด้าน และพิสูจน์ให้ตัวเอง และคนทั้งโลกว่า ไม่มีคุณลักษณะความเป็นผู้นำข้อใดๆที่ผู้หญิงทำไม่ได้

    Women-leaders

     

  • วิธีสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใครๆก็อยากใช้ และบอกต่อ

    นอกเหนือจากผู้อำนวยการโครงการนาซ่า ที่จะมาแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการที่ส่งยานสำรวจดาวอังคาร ที่ส่วนตัวอยากรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เคล็ดลับความสำเร็จ

    หนี่งในหัวข้อที่มีโอกาสได้รับเกียรติให้ไปแบ่งปันในงาน Thailand Practical Software Engineering ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 2ๅ-22 พฤศจิกายน 2556 (ลงทะเบียนฟรี)

    เราจะมาพูดคุย แบ่งปัน ว่าทำไมหลายครั้งเราเห็นผู้นำที่สุดยอด เป็นที่ยอมรับของน้องๆ และหลายคนที่เรารู้จักก็ผลิตงานแบบอไจล์ กล่าวคือ ผลิตงานออกมาได้ทุก 2-4 สัปดาห์ ออกสู่ตลาด ยังไม่พอทีมเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่ดีที่สุดที่มีในตลาด หากแต่ว่า หลายครั้งเรากลับเห็นว่า ลูกค้าไม่เล่นด้วย กับทีมที่สร้างผลิตภัณฑ์เหล่านี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะตอบว่าทำไม เพราะหลายครั้งเรามักคิดว่า ทีมที่ทำงานได้ดีจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าอยากใช้ และอุดหนุน หรือแม้แต่บอกต่อ  หากแต่จากประสบการณ์จริง ทีมที่ดีนั้นสำคัญ แต่ก็มีวิธีการที่เราสามารถเอาไปใช้ได้จริงที่ได้ลองปฎิบัติมาแล้ว ล้ม ลุก คลุก คลาน แล้วกลับมาโดดเด่นในตลาดอีกครั้ง

    เราจะมาคุยกันว่า การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง และเราจะประยุกต์วิธีการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เรามีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร เรื่องจริงที่จะได้เห็นหลักการคิด จากผลงานจริงที่มีอยู่ในท้องตลาด ที่ได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่ใครๆก็พากันตบเท้าเข้าไปใช้บริการแบบเนืองแน่น ทุกๆวินาที

    รับรองหัวข้อนี้สนุกแน่!

  • Have you found your sense of comfort?

    Kent Beck, a founder of an extreme programming, as well as one of the founder of Agile Manifesto. He’s currently working at Facebook as a coach for programmer.

    One of the session I attended during Agile Singapore 2013 is “East at Work” , where he honestly shared that this talk was actually inspired by his wife, “Can you talk something relating to life?”, his wife said. I won’t go into full length of 1.5 hours of his talk because I know that InfoQ, media sponsor, will post his video soon.

    Lots of his point was relating to coding (of course, he’s programmer). However, reading between the line, he’s trying to communicate many points relating that we as a human should find our comfort of whatever we are doing.

    Kent Believe that no one shouldn’t spend too much time to judge if he/ she is the best or the worst. Comparing the effort to move pendulam center no matter where you stand. The amplitude is too high and we shouldn’t waste it.

    It’s unarguable that we all at one time in life thought we are the best and probably no one will ever invent what we can do or think. In contrast, we also used to be in the situation where we think we are the worst creature that ever live in the world because we do something very stupid that nobody can be that stupid.

    This two sides of pendulam is where we used to stand and we should try to reduce the amplitude of the two side as low as possible. Otherwise, the energy will be wasted as a result of putting us back to the comfortable spot.

    For Kent’s spot, they are:

    • My work matters
    • My code works
    • I’m proud of my work
    • I make public commitment
    • I am accountable
    • Interpret feedback
    • I am a beginner
    • I meditate
    • I serve

    It was a well delivered session by Kent Beck. They are still left for my interpretation and I will share when I have thought about it deeply. At the end of the day, each and everyone pendulum will have a different spot.

    No matter what industry you are in, I hope you will start finding your sense of comfort. It’s not only to help you live your life to the fullest but also the world will reap the benefit of getting the outcomes with the least waste.

    2013-11-07 16.51.41

  • Cultural differences between Asian and Westerner about help วัฒนธรรมที่ต่างระหว่างเอเชียกับตะวันตกในเรื่องความช่วยเหลือ

    One of the Agile Singapore Keynote that was well delivered by Jim McCarthy is around hacking the culture, where he talked about how to bring team to the next level of change, “Culture”. He introduces the nice open source protocol at liveingreatness.

    I have learned a lot from his session but as I am one of the people who has been trying to change the culture of my environment for many years. I found one an interesting but controversial topic about culture about help is a little different and needs to be tuned based on the local culture.

    Jim was mentioning about “we shouldn’t offer help to other people because it will lower the effectiveness”. In my opinion, it’s probably true for westerner but when it comes to Asian culture, offering help often show the good result. This is because in Asian culture, we are very reluctant to ask for help because we don’t know how others would think about us. In order to work effectively in Asia, people will need to read between the line and offering help is the best way to find out the message under hidden agenda.

    ในหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจในงาน อไจล์สิงคโปร์ ที่ถ่ายทอดโดย จิม แม็คคาที่ คือการ เจาะเพื่อเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวสั้นๆคือการเปลี่ยนแปลงในระดับลึกที่สุด หรือ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม จิมได้ให้รายละเอียดไว้อย่างน่าสนใจใน  liveingreatness.

    ถึงแม้ว่าจะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้เรียนรู้อะไรอย่างมาก แต่ ในฐานะคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำการปฏิรูปองค์กรในระดับวัฒนธรรมอยู่หลายปี มีข้อหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นที่โต้แย้งในชั้นเรียน และอยากแบ่งปัน คือ จิมสอนว่า เราไม่ควรที่ยื่นข้อเสนอที่จะช่วยเหลือ เพราะนั่นจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาได้ไม่ดีที่สุด

    ในความคิดเห็นส่วนตัว เราคนที่เป็นเอเชีย กลับพบว่าด้วยโครงสร้างวัฒนธรรมของเราเป็นคนที่เกรงใจ และไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไงถ้าเราไปขอความช่วยเหลือเค้า (ในภาษาอังกฤษ ไม่มีคำว่าเกรงใจ จริงๆ) ฉะนั้นถ้าอยากทำงานให้เกิดผลดีในย่านเอเชีย คนที่ทำงานต้องมีศิลปะในการอ่านใจคนว่า เพราะอะไรคนพูดถึงคิดแบบนั้น และ หลายครั้งการกระทำดังกล่าวก็ทำให้หลายต่อหลายงานในชีวิตของผมเองเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย

  • การสร้างสถาปัตยกรรมบนพื้นฐานของความไม่แน่นอน

    สิ่งที่เรียนรู้จากงาน อไจล์สิงคโปร์ จาก Architecture of Uncertainty, Kevlin Henney พอจับใจความได้คร่าวๆคือ

    1. เริ่มออกแบบจากสิ่งที่ยากที่สุด หลายต่อหลายครั้งเรามักไปทำส่วนที่ง่ายที่สุด แล้วค่อยย้อนไปมองส่วนที่ยากที่สุด แต่ในมมของ Kevlin คือ ต้องสร้างสถาปัตย์เหมือนกับการสร้างบ้าน คือคิดในส่วนที่เป็นรากฐานของบ้านให้ดี แล้วค่อยไปโครงสร้างชั้นถัดไป
    2. ทุกคนที่มีส่วน ไม่ว่าจะเป็นคนสร้างโคด หรือ แม้แต่คนที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างไม่ว่าทางใด ทางหนึ่่งเป็นนักสถาปัตยกรรมหมด ตำแหน่งหรือว่าคนเป็นแค่ตัวแทนของคนที่รวบรวมเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน
    3. การสร้างสถาปัตยกรรมเหมือนกับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Big bang ตอนเริ่มต้น เริ่มจากเล็กๆมากแต่พอขยายมันกลายโลกอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ เช่นเดียวกับการเขียนโคด วันแรกเราอาจไม่ได้คิดอะไร แต่เราอาจกำลังสร้างกับดักให้กับตัวเองในอีกสิบปีถัดไป
    4. การทำสถาปัตยกรรมแบบที่เรารู้จักกันดี คือ วิเคราะห์ ออกแบบ เขียนโคด และ ทดสอบ ใช้ไม่ได้กับซอฟ์ตแวร์ (แต่อาจใช้ได้กับกลุ่มงานกลุ่มอื่นได้) และมีหลายคนมักโต้แย้งว่า ถ้าหากว่าเรา สามารถที่จะทำให้ทุกอย่างนิ่งได้ เราน่าจะใช้วิธีการดังกล่าวได้ แต่คนสอนบอกว่า ถึงแม้ว่าเราจะทำให้ทุกอย่างนิ่งได้ แต่ยังมีอีกหนึ่งปัจจัย คือตัวเราเอง นั้นไม่นิ่ง สิ่งที่เราเคยคิด ณ จุดหนึ่ง มักเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา
    5. ความเชียวชาญของนักสถาปัตยกรรมไม่ใช้ในระดับองค์ความรู้แต่หากเป็น ระดับในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เช่น หนังเรื่องเดิม หากเราดูซ้ำๆหลายๆรอบ แต่ละรอบเราจะได้ความรู้ หรือข้อมูลที่แตกต่างกัน ฉะนั้นคนที่เป็น ในระดับผู้เชียวชาญ จะตั้งคำถามที่แตกต่างจาก ระดับเริ่มต้นเสมอ
    6. การออกแบบสถาปัตยกรรมที่ดีไม่ใช่การทำให้สมบูรณ์แบบ แต่หากเป็นการออกแบบให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมของเราให้ง่ายที่สุดด้วย
    7. สถาปัตยกรรมที่ดีต้องสร้างโคด แล้วทดสอบได้ทันที ไม่ใช่รอ หรือว่าทำใน power point/ key note
    8. ไม่มีสถาปัตยกรรมที่ สามารถรองรับได้ทุกสิ่ง General Purpose Architecture never exist!

    อยากรู้เพิ่มเติมดูเพิ่มได้ที่ 97 things every architect should know

    architect

  • เชื่อฟังเจ้านาย แต่ต้องทะเลาะกับผู้นำ

    คุณลักษณะอย่างหนึ่งของคนไทย คือเกรงใจ เคารพและนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ หรือว่าผู้ที่เป็นเจ้านาย

    คงไม่ผิดอะไรถ้าหลายคนเอาวัฒนธรรมดังกล่าวไปตีความว่าเจ้านายทุกคนไม่ชอบให้คนขัดใจ

    แต่หากเจ้านายคนนั้นมีความเป็นผู้นำ จะมีบุคลิกบางอย่างที่อาจทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีทำงานให้เหมาะกับสไตล์ ซึ่งทีหลากหลายประเภท แต่ขอยกตัวอย่างที่เคยพบเจอ และได้ยินมา

    1. เจ้านายที่ต้องการให้คนอื่นทำตามทันที ไม่มีข้อสงสัย
    2. เจ้านายที่ต้องการให้คนอื่นคิดตามแล้วค่อยทำ บิดได้แต่ได้งานเหมือนกัน
    3. เจ้านายที่ไม่ชอบสั่งงานแต่ให้ลูกน้องเสนอความคิดเห็น แต่เจ้านายต้องเป็นคนตัดสิน
    4. เจ้านายที่ไม่ชอบสั่งงานแต่ให้ลูกน้องเสนอความคิดเห็น และการตัดสินใจยืนพื้นความคิดเห็นของทีมทั้งหมด
    5. เจ้านายที่สั่งงาน และ อยากได้ยินความคิดเห็น แล้วค่อยตัดสินใจตามสิ่งที่ตัวเองคิด
    6. เจ้านายที่สั่งงานและ อยากได้ยินความคิดเห็น แล้วค่อยตัดสินใจตามความคิดเห็นของทีมทุกคน

    ไม่ได้กำลังบอกว่าเจ้านายแบบไหนเป็นแบบที่ดี ที่ถูกต้อง เพราะว่า แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสีย และใช้ในสถานะการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ที่แน่ๆ ถ้าเจ้านายคนนั้นมีความเป็นผู้นำสูงมักเปิดโอกาสให้ลูกน้องเสนอความคิดเห็นที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับความคิด (หรือภาษาชาวบ้านว่า ทะเลาะ) แต่ความขัดแย้งดังกล่าวจะไม่นำพาไปสู่ความเกลียดชัง หรือพยายามกีดกันลูกน้องให้ไม่มีส่วนร่วมในงานอีก (ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า ดอง)

    แล้วคุณล่ะครับ ชอบ หรือว่าอยากเป็นเจ้านายแบบไหน

  • ทำไมต้องตั้งฝึกตั้งคำถาม

    ทักษะธรรมดาๆที่หลายคนมองข้ามคือทักษะในการตั้งคำถามกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต แต่เราหลายคนพอเริ่มโตขึ้นกลับเริ่มทำมันน้อยลง ทั้งๆที่เราเรียนรู้การการพูด ฟัง อ่าน เขียน จากการตั้งคำถาม

    ได้มีโอกาสนั่งคิดว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ คนไม่ตั้งคำถาม เลยได้ข้อสรุปบ้างจากการพบปะพูดคุย กับพี่ๆน้องที่เราสัมผัส ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เลยอยากจะมาแบ่งปัน

    1. บางคนเคยเป็นคนชอบตั้งคำถามแต่ ตอนเด็กๆโดนสังคมในโรงเรียน หรือที่บ้านปลูกฝังให้เชื่อฟัง การตั้งคำถามคือการไม่เชื่อฟัง (หรือภาษาชาวบ้านคือ เถึยง)
    2. เข้าใจผิด คิดว่าการถามคือแปลว่าโง่ เลยกลัวดูแย่ เลยไม่ต้องรู้อะไรกันพอดี
    3. ไม่อยากถามเพราะว่าคิดว่ารอฟังให้จบเผื่อว่าจะได้คำตอบพอได้ฟังเรื่องทั้งหมด
    4. ไม่รู้จะถามอะไร เพราะว่าไม่รู้เรื่องเลย
    5. ไม่ถามเพราะว่าคิดว่าตัวเองรู้แล้ว พอได้ยินอะไรแปลกจากที่ตัวเองรู้ เลยสันนิษฐานว่าคนอื่นคิดผิด
    6. ไม่ถามเพราะว่าอยากไปหาคำตอบเอง (อีโก้สูง)
    7. ไม่ถามเพราะว่าคิดว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ เพราะว่าคนพูดไม่รู้จริง (กลัวหักหน้าคนพูด)
    8. ไม่ถามเพราะว่าเรียบเรียงประโยคให้สวยหรูไม่ได้ (อันนี้เจอบ่อยในบรรดา โปรแกรมเมอร์ คนทำงาน)
    9. ไม่ถามเพราะว่าไม่อยากให้ประชุมลากยาว (โดยเฉพาะประชุมก่อนเที่ยง
    10. ไม่ถามเพราะว่า ไม่รู้จะถามอะไร คนพูด หรือ คนอธิบายได้ดีมาก

    หลากหลายเหตุผล แต่โดยส่วนตัว การตั้งคำถามเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน เพราะว่า คำถามที่ดีนั้นสำคัญ เพราะว่าถ้าเราตั้งคำถามผิด ต่อให้ได้คำตอบที่ถูก ก็ไม่มีประโยชน์ ลองดูครับ หัดตั้งคำถามง่ายๆ ด้วย เทคนิคง่ายๆ เช่น เป้าหมายของการพูด ใครที่เกี่ยวข้องบ้าง เพราะอะไรเรื่องนี้จึงสำคัญ เมื่อไหร่จะเกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นที่มีผลในทางตรง ทางอ้อม  ถ้าหากเกิดกรณีพิเศษจะเป็นอย่างไร ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว

    การตั้งคำถามนอกจากทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นแล้ว ยังจะทำให้เราพัฒนาความเชื่อมั่นต่อเพื่อนร่วมงานอีกด้วย เพราะว่าสิ่งที่เราทำถามอาจทำให้ใครอีกหลายคนได้รับคำตอบที่เค้าไม่กล้าถามก็เป็นได้

    Questions and Answers signpost

  • การปฏิรูปไม่ใช่ศูนย์ กับ หนึ่ง

    ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว และ คงไม่มีใครที่จะบอกได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่เปลี่ยนแปลง แต่หากการปฎิรูปต่างๆ สิ่งที่เรามักเห็นคือ ต้องการให้ปรับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยส่วนตัว โดยธรรมชาติ และกลไกของคน มีสภาวะทีป้องกันตัวเองจากการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว แน่นอนที่หลายคนอาจมีความสามารถในการข่มใจให้ไปไม่ทำในสิ่งที่ยังไม่ได้ชอบนัก แต่คนส่วนใหญ่ยังรักที่จะเป็นอย่างที่ทำอยู่ เพราะฉะนั้น หากเราต้องการปฏิรูปอะไรซักอย่าง เราคงใช้หลักการที่ว่าถ้าไม่ทำถือว่าไม่ได้คงไม่ใช่

    แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่สำคัญต่างหากที่จำเป็น และความสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ต้องทำ ทำทีละเล็กทีละน้อย มาถึงวันหนึ่ง โดยที่เราไม่รู้ตัว อาจจะพบว่าเรากลายเป็นอีกคนที่มีความสามารถทำอะไรที่เราไม่เคยทำก็เป็นได้

    เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอน หลายคนคงเคยได้ยินว่าใครที่ไม่ซ้อมถ้าวิ่งอาจตายได้ เช่นกันครับการปฏิรูปไม่ว่าอะไรก็ตาม อาจไม่ทำให้เราตาย แต่อาจจะทำให้เราตายทั้งเป็นเพราะว่าเราอาจจะปฎิรูปอีกไม่ได้เลย เพราะว่าสมองเราถูกฝังว่าเกลียดการปฎิรูปไปเลยก็เป็นได้

    butterfly_transformation

  • เวลาใคร่ครวญกับตนเองนั้นจำเป็น

    เรื่องง่ายๆที่ทุกคนสามารถทำได้คือการใช้เวลาซัก 15-45 นาที คุยกับตัวเอง

    • สิ่งที่เราต้องการ
    • สิ่งใหม่ที่เราได้เรียนรู้
    • คนใหม่ที่เรารู้จัก
    • ข้อผิดพลาดที่อยากปรับปรุง
    • ประโยคเด็ดที่ได้จากหนังสือ (ในกรณีที่เราอ่านหนังสือทุกวัน)
    • สร้างแบรนด์ของเรา อย่างที่เราอยากให้คนนึกถึงเราหรือไม่
    • ได้ช่วยใครบ้าง
    • บรรลุเป้าหมายประจำวันหรือเปล่า
    • ดูแลคนที่เรารัก (พ่อแม่ พี่น้อง แฟน ภรรยา ลูก)

    การดูแลตัวเอง หรือทิศทาง ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ทุกรายละเอียดตลอดเวลา แต่หากเป็นการที่เราสามารถที่จะพยายามมองหารายละเอียดได้ทุกวันโดยไม่เบื่อหน่าย

  • บางสมการชีวิตนั้นจำเป็นต้องเจ็บปวด

    คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าหลายๆคนเติบโตมาในระบบสังคม การศึกษาที่วางกรอบว่า เราควรเรียนรู้บทเรียนก่อนที่จะเจอบททดสอบ แต่หากสมการชีวิตมักเจอบททดสอบก่อนถึงจะได้รับบทเรียน เค้าเรียกไม่เจ็บไม่จำ (ภาษาอังกฤษเค้าว่า no pain, no gain)

    คงไม่บอกว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็นแต่การที่จะเอาสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์นั้นบางครั้งก็ยาก ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสเข้าไปแบ่งปันวิธีการสร้างผลงาน สร้างทีม ด้วยการทำงานแบบอไจล์ให้กับกลุ่มคนหลากหลายชาติ ทั้งนักคิด ผู้บริหารระดับสูง กลาง และคนลงมือทำงาน สิ่งหนึ่งที่ต้องคอยเตือนก็คือ บางครั้งเราต้องยอมให้พี่น้องบางคนได้ลองล้มดูบ้าง ผลลัพธ์ที่ต้องยอมรับคือจะมีกลุ่มคนประมาณสามกลุ่ม คือ

    1. ล้มแล้วเรียนรู้และไม่กลับมาทำมันอีก กลุ่มนี้เป็นคนฉลาดที่ไม่ยอมเจ็บซ้ำสอง เปลี่ยนแปลงเร็วและวิ่งเข้าลู่เร็ว
    2. ล้มแล้วเรียนรู้แต่ไม่อาจปรับพฤติกรรมให้ทำสิ่งที่ถูกต้องได้ คนกลุ่มนี้อาจใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยน แต่อย่างน้อยเค้าพยายาม โดยส่วนตัวเชื่อว่าในที่สุดคนกลุ่มนี้จะเปลี่ยนได้
    3. ล้มแต่ไม่เรียนรู้และทำผิดพลาดเรื่องเดิมซ้ำๆ และหลายครั้งไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามหาเหตุผลเพื่อจะมารองรับความล้มเหลวของตนเอง คนกลุ่มนี้น่าสงสาร เพราะว่าการเดินหันหลังให้กับโอกาสบางอย่างของชีวิตมักสร้างความขมขื่นในระยะยาว

    โดยส่วนตัวผมเคยตกอยู่ในกลุ่มคนทั้งสามกลุ่ม บางเรื่องเราอาจเรียนรู้เร็วและก้าวไปอย่างรวดเร็ว แต่บางเรื่องอาจไม่ยอมรับเพราะว่าเหตุผลส่วนตัวและข้อจำกัด บางเรื่องเราไม่ยอมรับเพราะว่าอาจจะยังไม่ได้พบกับคนที่ทำให้เราเข้าใจบทเรียน

    หลายครั้งเราก็มักท้าทายกับชีวิตว่า อยากเล่นจริง เจ็บจริง หลายๆครั้งถึงจะยอมเรียนรู้

    แล้วคุณล่ะเป็นแบบไหน?